วันพุธ ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.
สิ่งหนึ่งที่เราได้เห็นในช่วงแรกของฟุตบอลโลก 2022 มีอย่างมากมาย
สองทีมจากทวีปเอเชียเล่นแล้วสุดเพลียทั้ง กาตาร์ และอิหร่าน ที่ตอนแรกเหมือนจะสู้ได้ แต่สุดท้ายสู้ก็ไม่ได้ และเหมือนจะไร้รูสู้
การได้เห็นนักเตะที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน “จงอย่าทิ้งฝัน” และ “จงเชื่อมั่น” รวมถึง “จงแข่งขันกับตัวเอง”
อันดรีส นอปเพิร์ต นายประตูหน้าใหม่ของ “ฟลายอิ้งดัทช์แมน” เนเธอร์แลนด์ ที่มาบอลโลก 2022 หนนี้แบบ”ไม่เคยติดทีมชาติ” แต่กลับกลายเป็นมือ 1 และไม่เสียประตู
เยสเปอร์ ซิเลสเซ่น จอมเก๋าที่เป็นมือ 1 จากบอลโลก 2014 กับ มาร์ค เฟล็คเค่น จากไฟร์บวร์ก หลุดโผจากทีม
“กังหันลม” ผลิตนักเตะมากมายแต่นายประตูที่มาครั้งนี้ ติดทีมชาติรวมกันเพียง 8 นัดเท่านั้น นั่นคือ จัสติน ไบจ์โลว วัย 24 ปี 6 นัด, เรมโก้ ปาสฟีร์ วัย 39 จากอาแจ๊กซ์ 2 นัด และอันดรีส นอปเพิร์ต วัย 28 ปี ไม่ติดทีมชาติเลย!!!!!
สุดท้าย หลุยส์ ฟาน ฮาล กุนซือจอมเก๋า ตัดสินใจจั่วไปที่ นอปเพิร์ต แบบเซอร์ไพรส์สุด ๆ เพราะที่ผ่านมาไม่มีประสบการณ์ทีมชาติ
เขาก็แทบจะไม่มีประสบการณ์การเล่นอาชีพด้วยซ้ำไป และเมื่อปี 2020 ครอบครัวรวมถึงคุณหมอได้รับคำแนะนำให้เลิกเล่น หลังจากโดน ดอร์เดรชท์ ปล่อยตัว เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บ
ไม่มีทีมอยู่เป็นปี ก่อนที่เดือนมกราคม 2021 เซ็นสัญญาระยะสั้นกับ โก อะเฮด อีเกิลส์ ลงเล่นไป 15 เกม กลับสู่อ้อมอกฮีเรนวีน เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ด้วยสัญญา 2 ปี ลงสนามไป 14 นัด เท่ากับเล่นระดับสโมสรทั้งชีวิตเพียง 45 นัดเท่านั้น!!!!!
ถูกเรียกตัวติดทีมไปฟุตบอลโลก พร้อมกับกุมสถิติเป็นผู้เล่นที่สูงที่สุดในทัวร์นาเมนท์ 2.03 เมตร ก่อนลงสนามนัดแรกกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ในการแข่งขันฟุตบอลโลก โชว์ไป 4 เซฟ จะ ๆ เลยคือ 3 และสัมผัสบอลรวม 32 ครั้ง พร้อมกับไม่เสียประตู ก่อนที่ เนเธอร์แลนด์ จะชนะ เซเนกัล 2-0
นี่มันเทพนิยายชัด ๆ!!!!
ประเด็นต่อมาที่ทุกคนจับตามองก็คือ เรื่องของ”เวลา”ในบอลโลกครั้งนี้
ในเกมนัดแรก “ไม่มีเวลา” บอกตลอดทั้งเกม ซึ่งปกติแล้ว ฟีฟ่า ก็จะขึ้นในช่วงไทม์ไลน์สำคัญผ่านควอเตอร์ต่าง ๆ อาทิ ผ่านไปครึ่งชั่วโมง, เมื่อเหลืออีก 5 นาทีจะหมดเวลาครึ่งแรก, ผ่านไป 60 นาที, เหลืออีก 15 นาทีสุดท้าย
สำคัญก็คือ 4 เกมแรกของบอลโลกหนนี้มีการทดเวลามากถึง 65 นาที
โดยเฉพาะแมตช์ของอังกฤษกับอิหร่านนั้น มีเวลารวมกันยาวนานถึง 117 นาที 16 วินาที นานอย่างไม่น่าเชื่อ
อังกฤษ-อิหร่าน ทดเวลาบาดเจ็บไปทั้งหมด 27 นาที แบ่งเป็นครึ่งแรก 14 นาที ครึ่งหลัง 13 นาที
บวกกับคู่ในวันเดียวกันก็คือ เซเนกัล-เนเธอร์แลนด์ ทดเวลาบาดเจ็บไปทั้งหมด 10 นาที ครึ่งแรก 2 ครึ่งหลัง 8 และ เวลส์-สหรัฐอเมริกา ทดเวลาบาดเจ็บไปรวมทั้งหมด 13 นาที แบ่งเป็นครึ่งแรก 4 ครึ่งหลัง 9
มันน่าแปลกสำหรับหลายต่อหลายคน และมันไม่ใช่เป็นคำขู่จาก ฟีฟ่า เพราะก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นนั้น ได้มีเรื่องนี้เตือนกันก่อนแล้ว
การประชุมคณะผู้ตัดสินทั้ง 36 คนและทีมงานเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วทาง ฟีฟ่า ได้กำชับและอนุญาตให้เหล่าเชี้ตดำทั้งหลายสามารถยืดช่วงทดเวลาบาดเจ็บออกไปให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ตามความเหมาะสม เพื่อช่วยแก้ปัญหาเวลาการแข่งขันที่ไม่ต่อเนื่องที่เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยอย่างเช่น มีผู้เล่นบาดเจ็บ, ถ่วงเวลา, แจกใบคาดโทษ, ช่วงเล่นลูกตั้งเตะ, เปลี่ยนตัว หรือ เหตุทะเลาะวิวาท
เหตุผลที่เกมต้องหยุด มาจาก การบาดเจ็บ การตัดสินของผู้ช่วยผู้ตัดสินผ่านวิดีโอ การเปลี่ยนตัว จุดโทษ และใบแดง โดยผู้เล่นบางคนมักจะจงใจชะลอการเริ่มเกมใหม่หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อให้นาฬิกาหยุดลง
นี่เป็นครั้งแรกในฟุตบอลโลกที่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัวได้ 5 คน และไม่นับในสิทธิ์นี้ถ้าหากว่ามีการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ
อย่างไรก็ตาม มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากกว่าในเรื่องของการใช้เครื่องตรวจการถูกกระทบกระแทก ที่มีการว่าจ้าง ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตรวจสอบเหตุการณ์จากบนอัฒจันทร์และระบุการบาดเจ็บของสมองที่อาจเกิดขึ้น
หากมีการประเมินที่ผิดพลาด จะมีคำแนะนำลงมาสู่ผู้ตัดสินที่ 4 และจะนำไปแจ้งกับ แพทย์ประจำทีมยังสามารถเข้าถึงวิดีโอย้อนหลังได้ทันที
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในเกมระหว่าง อังกฤษ กับ อิหร่าน กลายเป็นข้อพิพาทให้ได้ถกกันว่า มันใช้ได้จริงหรือไม่
อาลีเรซา เบรันวานด์ ผู้รักษาประตูทีมชาติ อิหร่าน ถึงขั้นจมูกแตกจากจังหวะกระแทกกันเองกับ มายิด ฮอสเซนี่ เพื่อนร่วมทีมในจังหวะที่เขากระโดดขึ้นคว้าบอล ก่อนจะลุกขึ้นมาเล่นแต่ยืนได้ไม่ถึงนาที ก็ต้องนั่งลงก่อนจะส่งสัญญาณว่า “ไม่ไหว” สุดท้ายถึงขั้นต้องส่งโรงพยาบาล
คาร์ลอส เคยรอซ กุนซือใหม่แต่หน้าเก่าของ อิหร่าน บอกว่า ข้อมูลที่ผมได้รับจากทีมแพทย์และผู้ตัดสิน ก็คือห้ามเลือดที่จมูกไม่ได้ มันเหมือนกับว่าจมูกจะหัก จากนั้นผมได้ให้โกล์สำรองของเราวอร์มอัพ ทีมแพทย์บอกว่า สามารถห้ามเลือดได้แล้ว ดังนั้นเราจึงคิดว่าเขาน่าจะเล่นต่อได้
กฎการดูแลนักเตะนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ อิฟาบ หรือ IFAB [the International Football Association Board – football’s rulemakers]
แต่หนนี้เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นภาพนักบอลเลือดไหลบักโกรก แล้วปล่อยให้เล่นต่อ ไม่มีใครตอบได้ว่า การประเมินสถานการณ์ที่แท้จริงอยู่ตรงไหน
เพราะถ้าหากถามนักบอล ร้อยทั้งร้อยก็ต้องบอกว่าตัวเองไหว เนื่องจากไม่ใครหรอกอยากจะโดนถอดจากสนาม
ประเด็นที่ถูกทวงถามนั่นก็คือ ที่ปรึกษาทางการแพทย์บนอัฒจันทร์ ได้ดูภาพวิดีโอและให้คำแนะนำแก่แพทย์ที่อยู่ข้างสนามได้มากขนาดไหน พวกเขากำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งตรงข้ามกับการที่
โฆษกฟีฟ่า ที่แถลงการณ์ว่า สุขภาพของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลโลกเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
นี่คือ “โปรโตคอล”ของฟีฟ่า แต่กลับกลายเป็น “เคสแรก” ก็เกิดปัญหาเหมือนกับ “กฎล้ำหน้า” ที่เกิดขึ้นในวันเปิดสนาม
จากจังหวะล้ำหน้ามาจนถึงจังหวะบาดเจ็บ
งบประมาณตรงนี้มันล้มเหลวอีกครั้งหรือเปล่า กับการนำเทคโนโลยีมาใช้กับฟุตบอลที่ดูเหมือนกับว่า มากจนเกินไป
มากจริงแต่ถ้า”โจทย์จริง”มาเมื่อไหร่ คำตอบที่ได้ก็ยังคง”ไม่เคยชัด”
บี แหลมสิงห์