- นาโอมิ กริมลีย์
- ผู้สื่อข่าวสาธารณสุขโลก บีบีซี ดาการ์
ก่อนหน้านี้ในปีนี้ เซอรีเญอ ไม่ค่อยอยากจะออกจากบ้าน เขาเดินได้ช้ามาก เพราะเขาเกิดมาพร้อมกับการมีเท้าหันเข้าด้านใน เขารู้สึกอาย บางคนล้อเลียนเขาขณะเดิน หลายคนกลัวเขาและเรียกเขาด้วยฉายาต่าง ๆ แต่ตอนนี้ หลังเวลาผ่านไปไม่ถึง 6 เดือน เท้าของเขาได้รับการดัด และความฝันของเขาที่จะได้เล่นฟุตบอลให้ทีมชาติเซเนกัลก็มีความเป็นไปได้แล้ว
เซอรีเญอมีอาการเท้าผิดรูป หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า เท้าปุก ปัจจุบันเขากำลังอยู่ระหว่างการดัดเท้าให้กลับมาเป็นปกติ
จากข้อมูลของ มิราเคิลฟีต (MiracleFeet) องค์กรการกุศล คนที่มีเกิดมาและมีชีวิตอยู่กับอาการเท้าผิดรูปเกือบ 10 ล้านคนทั่วโลกในปัจจุบัน มีเกือบ 8 ล้านคนที่ไม่เคยได้รับการรักษาเลย เซเนกัลรับวิธีการรักษาแบบพอนเซติ (Ponseti) เข้ามาใช้ค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับประเทศในแอฟริกาประเทศอื่น ๆ อย่าง มาลาวี และยูกันดา ซึ่งจริง ๆ แล้วนำหน้าหลายชาติตะวันตกด้วยซ้ำในเรื่องการยอมรับวิธีการรักษานี้ แพทย์เซเนกัลได้รับวิธีการดั้งเดิมและกำลังใช้ในการรักษาคนไข้วัยรุ่นหรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่คิดว่าตัวเองพ้นวัยที่สามารถรับการรักษาได้แล้ว
แม่ของเซอรีเญอกำลังยินดีกับความคืบหน้าในการรักษาอาการของลูกชาย เธอรู้ดีกว่าใครถึงความโหดร้ายจากความพิการนี้
“ครั้งหนึ่ง เขาถึงขนาดไม่ยอมออกจากบ้านนาน 3 วัน นั่นทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก แต่ตอนนี้เรามีความสุขดี”
เซอรีเญอ กำลังเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการดัดเท้าที่เรียกว่าพอนเซติ (Ponseti) ซึ่งเป็นการตั้งชื่อตามแพทย์ชาวสเปนที่คิดค้นวิธีการนี้ขึ้นมา โดยจะให้คนไข้เข้าเฝือกที่ทำจากปูนปลาสเตอร์ชิ้นใหม่ทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อที่จะค่อย ๆ ดัดเท้าให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้น แต่อาการของเซอรีเญอรุนแรงมาก ดังนั้น เขาจึงต้องเข้าเฝือกถึง 20 ชิ้น แต่ละชิ้นใช้เวลานานหลายสัปดาห์ เฉลี่ยแล้ว 5-8 สัปดาห์ ในช่วงที่การรักษาใกล้จะสิ้นสุดลง จำเป็นจะต้องมีการผ่าตัดปล่อยเอ็นร้อยหวายเช่นเดียวกับคนไข้ส่วนใหญ่
การผ่าตัดเล็กนี้ ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายสูง และไม่จำเป็นต้องใช้ศัลยแพทย์ที่ต้องได้รับการอบรมมาอย่างดี นอกจากนี้ยังได้ผลสูง โดย 90% ของเด็กที่ได้รับการช่วยเหลือขณะอายุต่ำกว่า 2 ขวบ จะสามารถใช้เท้าได้เป็นอย่างดี แต่การผ่าตัดก็อาจจะนำไปสู่อาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นน่าอัศจรรย์มาก เมื่อได้ลองดูวิดีโอขณะที่เซอรีเญอยังเดินลากเท้าอยู่ ก่อนที่จะเริ่มมีการรักษา
เมื่อ 2-3 วันก่อนหน้านั้น เซอรีเญอใส่เฝือกชิ้นสุดท้าย หลังจากนั้น เขาจะต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อช่วยฝึกให้ขาของเขาสามารถรับน้ำหนักได้ และช่วงแรกเขาต้องสวมอุปกรณ์พยุงเท้าไว้ให้เข้าที่เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจมาก
ฟาทู เด็กอีกคนที่กำลังรับการรักษาที่คลินิกในกรุงดาการ์แห่งนี้ เดินทางไกลกว่า 640 กม. เพื่อมารับการรักษาเท้าขวาของเธอ วันนั้นเป็นวันเกิดอายุครบ 13 ปีของเธอ แต่เริ่มต้นวันด้วยการนำเฝือกชิ้นที่ 4 ออก พยาบาลเลื่อยปลาสเตอร์จากนั้นก็แกะออกจากเท้าของเธอ เธอสะดุ้งหนีเล็กน้อย แต่หัวหน้าพยาบาลที่คลินิกแห่งนั้นบอกเธอว่า อาการเจ็บเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ
“เราเชื่อว่า เท้าของเธอจะกลับมาเป็นปกติ และต่อไปเธอจะสามารถเดินได้อย่างเป็นปกติ” เขากล่าว “เมื่อเรานำเฝือกออก และเห็นความคืบหน้า เรามีความสุขมากจริง ๆ”
ฟาทูอธิบายว่า เธออาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลของประเทศ เธอไม่เคยคาดคิดว่า เท้าขวาของเธอจะได้รับการรักษา เธอจึงดีใจมากได้รับมาเป็นคนไข้ที่นี่
เวลาที่ฟาทูอยู่ที่โรงเรียน เห็นเด็กคนอื่น ๆ วิ่งกระโดดโลดเต้น ขณะที่เธอต้องใช้ไม้ค้ำช่วยเดิน
“หนูรอคอยที่จะทำทุกอย่าง หนูทำไม่ได้ แต่เมื่อไหร่ที่หนูหายแล้ว หนูจะทำทุกอย่างที่อยากทำได้”
นั่นรวมถึงการทำตามความฝันในการเป็นหมอของเธอด้วย แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีเช่นนี้ ยกตัวอย่าง อูมู แบร์รี วัย 32 ปี ตอนที่เราเดินทางไปเยี่ยมเธอที่ชานกรุงดาการ์ เธอให้เราดูเท้าซ้ายของเธอ ซึ่งมีขนาดใหญ่และผิดรูป เธอต้องเดินกะโผลกกะเผลกโดยใช้ด้านข้างของเท้า การเริ่มมีอาการเจ็บทำให้เธอไม่สามารถเดินไกลได้ ชีวิตของเธอเผชิญกับตราบาปจากการมีเท้าผิดรูป เธอร้องไห้ขณะที่เธอเล่าเรื่องราวในวัยเด็กของเธอ
“ฉันเคยถามแม่ว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ แม่ตอบฉันว่า ‘เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า’ และ ‘ลูกเกิดมาเป็นแบบนี้'” อูมูเล่า
ปัจจุบัน อูมู มีสามีและลูก 2 คน ทำให้ชีวิตของเธอไม่โดดเดี่ยวเหมือนกับคนที่ไม่ได้รับการยอมรับเพราะอาการเท้าผิดรูปอีกหลายคน แต่เธอก็ยังคงรู้สึกถึงข้อจำกัดของความพิการที่ทำให้ไม่มีใครจ้างงานเธอ ด้วยวัยและการเคยเข้ารับการผ่าตัดที่ผิดพลาดมาก่อน อูมูจึงไม่สามารถรับการรักษาด้วยวิธีการพอนเซติได้ ขณะที่ผู้ใหญ่บางคนตอบสนองต่อการรักษาเป็นอย่างดี แต่การรักษามีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะเท้าของผู้ใหญ่ดัดยากกว่าเด็ก
ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอุทิศชีวิตให้กับการหาคนที่มีอาการเท้าผิดรูปมาเข้ารับการรักษาคือ ไอชา เอ็มบัลโล ตอนที่เราพบกับเธอ เธอเดินอย่างมั่นใจผ่านตลาดแห่งหนึ่งในเมืองทีส โดยเหน็บหนังสือภาพเล่มใหญ่ไว้ใต้แขน หนังสือนี้อธิบายถึงอาการเท้าผิดรูปและวิธีการรักษาแบบพอนเซติสามารถใช้ดัดเท้าได้ เธอมาที่นี่เพื่อมองหาคนที่มีอาการเท้าผิดรูป ซึ่งอาจจะไม่มีใครพบมาก่อน
ไอชาบอกว่า เท้าของเธอ “หันไปข้างหลังอย่างเต็มที่” จนกระทั่งในทศวรรษ 1990 ขณะที่เธออยู่ในช่วงวัยรุ่น เธอได้ถูกส่งตัวไปสหรัฐฯ เพื่อรับการผ่าตัด ตอนนี้เธออาสาเป็นทูตให้กับองค์กรการกุศลมิราเคิลฟีต ซึ่งสนับสนุนการคัดกรองหาเด็กเกิดใหม่ที่มีอาการเท้าผิดรูป
โรซาลินด์ โอเวน จากโครงการริเริ่มเท้าผิดรูปโลก (Global Clubfoot Initiative) ซึ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับมุมมองต่ออาการเท้าผิดรูปในแอฟริกา กล่าวว่า ชุมชนอนุรักษนิยมในแอฟริกาคือปัญหาใหญ่
“ผู้คนคิดว่า คุณถูกสาป หรือถูกเวทมนตร์คาถา หรือบางที พ่อแม่ของคุณอาจจะทำผิด” เธอกล่าว โดยอาจจะรวมถึงการเชื่อว่า แม่มีชู้ และนี่คือการลงโทษ
ปัจจุบัน มีคนที่มีภาวะเท้าผิดรูปไม่ถึง 20% ที่ได้รับการรักษาในเซเนกัล ดังนั้นจึงมีโอกาสในการหาคนมาเข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้น
ภาพและรายงานเพิ่มเติมโดย กาเบรียลลา โอ’ดอนเนลล์ และนิก ลูมิส