สิบล้อเบรคแตก!? ลิเวอร์พูล ยุคปรับปรุงใหม่!


สิบล้อเบรคแตก!? ลิเวอร์พูล ยุคปรับปรุงใหม่!

ผมไม่ได้กระแทกนิ้วถึงไอ้เพื่อนรักอย่าง ลิเวอร์พูล มานาน 2-3 วันแล้ว 

    เกรงว่าพวกพรี่ๆ เขาจะน้อยใจ จึงขอสักหน่อยดีกว่า 5555

    ประกอบกับที่มีเด็กหงส์จำนวนหนึ่งส่งข้อความมาถามมุมมองของผมค้างเอาไว้ว่าโทษฐานที่ฤดูกาลล่าสุด ลิเวอร์พูล ชวดแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างน่าเจ็บใจเหมือนฤดูกาล 2018-19 แล้วฤดูกาลหน้า พวกพรี่ๆ เขาจะแปลงร่างเป็น “สิบล้อเบรคแตก” อีกหรือเปล่า ???

    อืมมมมมม…นะ

    ก่อนอื่นเลย ขอย้อนเวลากลับไปในฤดูกาล 2018-19 ที่ ลิเวอร์พูล อุตส่าห์สะสมได้ถึง 97 แต้ม แล้วไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก

    ณ จุดนั้น คอลัมนิสต์ลูกหนังผู้มีอาการทางจิตเล็กน้อยอย่างผมพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันสุดท้ายของฤดูกาลแบบไม่กลัวหน้าแหก และเสียน้องหมาว่า…

    ฤดูกาลหน้า ลิเวอร์พูล จะแปลงร่างเป็น “สิบล้อเบรคแตก” แล้วกะซวกแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จเป็นอันสิ้นสุดการรอคอย

    เพราะเหตุใดถึงกล้าฟันธงแบบนั้น ???

สิบล้อเบรคแตก!? ลิเวอร์พูล ยุคปรับปรุงใหม่!

    1. การพลาดแชมป์ที่ตัวเองเฝ้าคอยมานานถึง 30 ปีนี่แหละ 

    มันสร้างความอัดอั๊นตันตูดให้พวกพรี่ๆ เขาอย่างจงหนักจนแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานที่มากด้วยแรงผลักดันระดับสิบล้อเบรคแตก

    หรืออธิบายง่ายๆ สั้นๆ ว่าคล้ายๆ ภูเขาไฟระเบิด !!!

    2. นอกจากนี้การบดบี้แชมป์ในฤดูกาล 2018-19 ของ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลจนนำมาซึ่งความสำเร็จนั้นส่งผลให้พวกเขาสูญเสียพลังงานไปพอสมควรจนเกิดความอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ 

    แน่นอนว่าแรงผลักดันหลังกินอิ่มย่อมลดน้อยลงไปตามธรรมชาติ

    สิ่งที่บังเกิดขึ้นในซีซั่นนั้นคือ ลิเวอร์พูล ออกตัวจากจุดสตาร์ตด้วยความเร็ว-แรงแบบทะลุนรก และกะซวกทุกอย่างที่ขวางหน้า ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ แผ่วลงไปอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ

    ไม่เพียงแต่จะจำแลงตัวเองเป็น “สิบล้อเบรคแตก” เท่านั้น ยังต้องเพิ่มคำว่า “เมายาบ้า” ต่อท้ายเข้าไปด้วย ก่อนพุ่งทะยานเข้าเส้นชัย โดยทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่น 

    หากไม่ติดโควิดที่ทำให้เกมฟาดแข้งต้องเว้นวรรคเสียก่อน พวกเขาจะทำสถิติคว้าแชมป์อย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก 

    ตัดภาพมาที่ฤดูกาลล่าสุด

สิบล้อเบรคแตก!? ลิเวอร์พูล ยุคปรับปรุงใหม่!

    จัดเป็นอีกครั้งและอีกครั้งที่พลพรรคหงส์แดงจากการทำงานของ เจอร์เก้น คล็อปป์ แพ้ แมนฯ ซิตี้ อย่างเฉียดฉิวเพียงแค่คะแนนเดียวเท่านั้น (93 ต่อ 92 คะแนน)

    ต่อคำถามที่ว่าแล้วฤดูกาลหน้า ลิเวอร์พูล จะแปลงร่างเป็น “สิบล้อเบรคแตก” อีกหรือไม่ ในเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กับที่มันเคยเกิดขึ้นมาก่อน

    คำตอบของผมคราวนี้ไม่เหมือนเดิมนะครับ – ขอโทษ

    คือต้องรอดูเอาเอง ผมไม่กล้าเอาปังตอมาฟันธงจนขาดเป็น 2 ท่อนเหมือนเดิม เพราะแรงผลักดันที่ไม่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกนั้นได้ถูกทำให้มันสำเร็จไปเรียบร้อยโรงเรียนหงส์แดงแล้ว

    ส่วน แมนฯ ซิตี้

    หลังพุ่งเข้าชนและวิ่งเข้าใส่ความสำเร็จระดับแชมป์พรีเมียร์ลีกอีก 1 สมัย

    “เดอะ ซิตีเซ้นส์” ในฐานะแชมป์เก่าแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่อย่างอิ่มเอมกับความสำเร็จ แถมยังทำการซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาด้วยการเพิ่มหัวหอกตัวเป้าขนานแท้เข้ามาอีก 1 หน่วย

    ที่สำคัญคือไม่ใช่ศูนย์หน้าธรรมดาๆ แต่เป็น “ศูนย์หน้า” ระดับดาวถล่มประตูตีนมหาวินาศอันดับหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

สิบล้อเบรคแตก!? ลิเวอร์พูล ยุคปรับปรุงใหม่!

    เท่านั้นไม่พอ 

    ทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์ยังเสริมทัพด้วยผู้เล่นเจ้าของสมญา “ยอร์คเชียรปีร์โล่” อย่าง คัลวิน ฟิลลิปส์ เข้าไปในแดนกลาง ช่วยให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สามารถวางแผนการเล่นพลางจัดทีมได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น

    เป้าหมายของ แมนฯ ซิตี้ ไม่ใช่แค่ป้องกันความสำเร็จของตัวเองในเกาะมหาสมบัติเพียงเท่านั้น

    มันยังหมายถึงความพยายามจะ “เอานะ” แชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรปอันเป็น “ปมด้อย” ของตัวเองให้จงได้

    นี่คือความพยายามในการถีบตัวเองให้หนีห่างจากคู่แข่งและคู่ขับเคี่ยวของ แมนฯ ซิตี้

    แน่นอนว่านาทีนี้ เพียงทีมเดียวในเมืองหลวงแห่งลูกหนังที่จะต่อกรกับโคตรทีมไร้เทียมทานอย่าง แมนฯ ซิตี้ ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อบนความสูสีมีเพียง ลิเวอร์พูล เท่านั้น

    “หงส์แดง” ไม่ยอมสับตีนอยู่กับที่เช่นกัน พวกเขาทำการเสริมผู้เล่นใหม่ เพื่อให้ทีมมีความน่าขามเกรงพลางเกิดการแข่งขันภายในทีมให้มากขึ้น

    นั่นคือการเดินทางมาที่ แอนฟิลด์ ของ ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าระดับดาวรุ่งพุ่งกระฉูดแตกที่มาแรงที่สุดในฤดูกาลที่ผ่านมา บวกด้วยอะไหล่ชั้นดีอย่าง ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ และ คัลวิน แรมซี่ย์ 

    ขณะเดียวกันก็ผ่องถ่ายผู้เล่นที่อิ่มตัว และไม่อยู่ในแผนการทำทีมอย่าง ซาดิโอ มาเน่, ดิว็อค โอริกี้ และ ทาคูมิ มินามิโนะ ออกไป

    ขนาดของทีมไม่ได้ใหญ่และยาวขึ้นสักเท่าไหร่ แต่มีความสดใหม่พร้อมแรงจูงใจที่สูงพอสมควร

    ทีนี้มาว่ากันถึงความเปลี่ยนแปลงของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2022-23 ในฐานะผู้ท้าชิงอันดับ 1 ของ แมนฯ ซิตี้

สิบล้อเบรคแตก!? ลิเวอร์พูล ยุคปรับปรุงใหม่!

    พวกเขามีหัวหอกตัวเป้าขนานแท้อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ที่เลื้อยตูดมาพร้อมความคาดหวังของปวง เดอะ ค็อป ว่าจะถล่มตาข่ายได้อย่างเป็นกองเป็นกำในฐานะศูนย์หน้า

    3 ประสานในหน่วยล่าสังหารเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกรุ่น

    จากเดิมคือ ซาดิโอ มาเน่ – โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ – โม ซาล่าห์ ที่บันทึกสถิติการผลิตประตู (ยิง + จ่าย) เอาไว้สูงมากเสียจนเกิดคำถามว่า 3 ประสานหน่วยล่าสังหารชุดใหม่ประกอบด้วย ลุยส์ ดิอาซ – ดาร์วิน นูนเญซ – โม ซาล่าห์ จะทำได้ตามมาตรฐานเดิมหรือเปล่า

    อย่างไรก็ตาม

    ด้วยรูปแบบการเล่นที่เป็นระบบบนมาตรฐานที่สูงอยู่แล้ว ประกอบกับผู้เล่นที่ถูกเลือกมาย่อมเข้าใจในปรัชญาของผู้เป็นกุนซืออย่างถ่องแท้ 

    พวกเขาคงใช้เวลาในการปรับจูนให้กลมกลืนกันไม่นาน

    หรือบางทีอาจไม่จำเป็นต้องลอง และใช้งานได้เลย เนื่องเพราะ ลุยส์ ดิอาซ กับ ซาดิโอ มาเน่ รวมถึง ดิโอโก้ โชต้า ปรับตัวเข้าหากันตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว

    หน้าที่หลักของ ดาร์วิน นูนเญซ ก็แค่กระทุ้งตาข่ายให้สิ้นซาก 

    ห้องเครื่องในแดนกลางก็ชุดเดิมที่เล่นด้วยกันมา 2 ฤดูกาลแล้วอย่าง ฟาบินโญ่ – จอร์แดน เฮนเดอร์สัน – ติอาโก้ อัลคันตาร่า

    แดนหลังหรือเกมรับก็มีความเหนียวแน่นและแข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

สิบล้อเบรคแตก!? ลิเวอร์พูล ยุคปรับปรุงใหม่!

    ที่สำคัญคือในแต่ละตำแหน่งจะมีอะไหล่ที่ทัดเทียมกับตัวหลัก โดยไม่เหลื่อมล้ำมากนัก

    ผู้รักษาประตู – ควีวิน เคลเลเฮอร์

    แบ็คขวา – คัลวิน แรมซี่ย์

    แบ็คซ้าย – คอสตาส ซิมิกาส

    เซ็นเตอร์แบ็ค – อิบราฮิมา โกนาเต้ กับ โจ โกเมซ

    มิดฟิลด์ตัวกลาง – เจมส์ มิลเนอร์, นาบี เกอิต้า และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน รวมถึง เคอร์ติส โจนส์ กับ ฮาวี่ย์ เอลเลียต ที่เล่นได้ทั้งมิดฟิลด์ตัวกลางและกองหน้ากึ่งปีก

    แดนหน้า – ดิโอโก้ โชต้า ที่สวมบทได้ทั้ง “หน้าเป้า” และ “หน้าซ้าย”, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่เป็นกองหน้าตัวปลอม และฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ที่เป็นกองหน้ากึ่งปีก รวมถึง เคอร์ติส โจนส์ กับ ฮาวี่ย์ เอลเลียต ที่เล่นได้ทั้งมิดฟิลด์ตัวกลางและกองหน้ากึ่งปีก

ถือเป็นขุมกำลังเชิงลึกที่สมบูรณ์แบบมิใช่เบา

    สำหรับเป้าหมายของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลหน้า

    แน่นอนว่าอันดับหนึ่งคือ พรีเมียร์ลีก กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เหมือนเดิม

    การไล่ล่า 4 แชมป์เมื่อซีซั่นที่แล้วพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องยาก ดับเบิ้ลยากส์ หากไม่แบ่งความสำคัญให้ดีก็จะเหมือนเมื่อฤดูกาลที่แล้ว คือเกิดอาการที่พากย์ภาษาอังกฤษว่า “โอเวอร์โหลด” 

    กลายเป็นว่าการให้ความสำคัญกับรายการเล็ก มันส่งผลกระทบต่อรายการใหญ่ที่อุดมด้วยคุณค่ามากกว่า…ซะอย่างนั้น 

สิบล้อเบรคแตก!? ลิเวอร์พูล ยุคปรับปรุงใหม่!

    เจอร์เก้น คล็อปป์ น่าจะได้รับบทเรียนตรงจุดนี้ไปแล้ว จึงไม่น่าจะเน้นหนักในฟุตบอลถ้วย 2 รายการที่ตัวเองเป็นแชมป์เก่ามากนัก เพื่อพุ่งเป้าไปที่รายการใหญ่อันทรงคุณค่ามากกว่าแบบเต็มตีนก๋ง

    แรงจูงใจในการไล่ล่าความสำเร็จยังคงอัดแน่นอยู่นั่นแหละครับ กุนซือกะโปกเหล็กอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ มีความเชี่ยวชาญทางด้านการปลุกระดม เพียงแต่อาจสูงไม่เท่ากับฤดูกาล 2019-20 ที่ ณ จุดนั้น พวกเขายังไม่เคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกจึงระเบิดออกมาเป็นพลังงานที่รุนแรงแบบเกินห้ามใจ

    คาดว่าด้วยความมุ่งมั่นที่จะไขว่คว้าความสำเร็จ จึงน่าจะเป็นอีกฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล เดินหน้าสะสมคะแนนแบบกระจุยกระจายในระดับ 90 แต้ม ขณะที่ในเส้นทางสายยุโรป พวกเขาจัดเป็นหนึ่งในตัวเต็งแน่นอน และหากไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะทะลุเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นอย่างต่ำ 

    เพียงแต่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่เข้าใคร-ออกใคร ขึ้นอยู่กับจังหวะและเวลาตามสถานการณ์เฉพาะหน้าที่กำหนดอะไรไม่ได้มาก

    ฉะนั้น & ฉะนี้

    ฤดูกาลหน้าที่กำลังกวักมือเรียกพลางแสยะยิ้มสยดสยอง

    การแก่งแย่ง แข่งขัน ห่ำหั่น และเชือดเฉือนกันระหว่างคู่ขับเคี่ยวแห่งยุคอย่าง แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล จึงมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

    กรีดตูดสาบานว่าขนาดผมเป็นเด็กผีที่ไม่มีลุ้น ยังอดระทึกใจไม่ได้ เมื่อนึกถึงความเมามันในการบดบี้แย่งแชมป์กันระหว่าง 2 ทีมนี้ในฤดูกาล 2022-23

    สุดท้ายจึงอยากบอกว่า…

    สู้ๆ นะ แมนฯ ซิตี้ !!!

    บอ.บู๋

อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามข่าวสาร

Add friend ที่ @Siamsport

เพิ่มเพื่อน