เล่นนอก แอนฟิลด์ ได้ดีทุกเกม! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล ทุบ แอร์เบ ไลป์ซิก

ลิเวอร์พูล กลับมาคืนฟอร์มดุอีกครั้งหลังจากที่พวกเขารวมพลังประจัญบานเอาชนะ แอร์เบ ไลป์ซิก 2-0 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัด 2 เมื่อวันพุธที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา รวมสกอร์ 2 นัดชนะ 4-0 ได้ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศอย่างสุดยอด

 ผลงานในแมตช์นี้ต้องยกความดีความชอบให้กับฟอร์มการเล่นของ ฟาบินโญ่ ที่กลับมายืนในตำแหน่งกองกลางอีกครั้ง และช่วยทำให้แผงมิดฟิลด์ของ “หงส์แดง” กลับมาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ที่สำคัญการได้สตาร์ชาวบราซิเลียนกลับมา ทำให้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า กับ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม เล่นได้ง่ายยิ่งขึ้น

 ส่วนสามประสานรูปใหม่ที่ คล็อปป์ นำมาใช้ก็เล่นได้น่าประทับใจ โดยเฉพาะ ดีโอโก้ โชต้า ที่สร้างโอกาสได้หลายครั้งแต่ขาดความเฉียบคมไปนิด ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ ซาดิโอ มาเน่ ทำผลงานได้น่าประทับใจอีกครั้ง

1. แผงมิดฟิลด์แน่นปึ้กเมื่อได้ฟาบินโญ่

    การได้ ฟาบินโญ่ กลับมายืนในตำแหน่งประจำทำให้แดนกลางของ ลิเวอร์พูล กลับมาเล่นได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง โดยดาวเตะชาวบราซิเลียนรับหน้าที่ในการคุมจังหวะ และเชื่อมเกม รวมทั้งการเล่นเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยม

    มิดฟิลด์ทีมชาติบราซิล ต้องถูกจับไปเล่นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กจำเป็นตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาลนี้ แม้จะทำผลงานได้ดีแต่นั่นไม่ใช่ตำแหน่งถนัดของเขา ฉะนั้นการที่ คล็อปป์ ตัดสินใจจับ ฟาบินโญ่ กลับมาเล่นตรงกลางอีกครั้งทำให้ทีมดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันที

    ยิ่งไปกว่านั้น ติอาโก้ อัลกันตาร่า ก็ได้อานิสงส์จากการกลับมาประจำตำแหน่งของ ฟาบินโญ่ ด้วย เพราะทำให้เขามีอิสระในการเล่นเกมรุกได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเกมรับมากนัก ที่สำคัญฟอร์มของเขาโดดเด่นมากๆ 

    ติอาโก้ มีโอกาสได้ลากเลื้อยได้อย่างเต็มที่ และมีจังหวะที่จะจบสกอร์ตั้งแต่สี่นาทีแรก แต่ดันตัดสินใจไม่ดีเลือกส่งให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จนทำให้ทีมเสียโอกาส จากนั้นก็เกือบทำแอสซิสต์สุดสวยในจังหวะที่เปิดบอลให้ “บังโม” ในนาทีที่ 24 แต่น่าเสียดายที่ยิงไม่เข้าไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำแอสซิสต์ที่สุดคลาสสิคเลยทีเดียว นอกจากนี้เขายังโชว์ลีลาจักรยานอากาศด้วย แต่บอลเบาไปหน่อยก็เลยเข้ามือโกล

     ส่วน จอร์จินโย่ ไวนัลด์ดุม ซึ่งได้รับเกียรติให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมในเกมนี้ ยังทำหน้าที่ได้ตามมาตรฐานเหมือนเดิม โดยมีส่วนกับการเล่นเกมรุกหลายครั้ง โดยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของเขาก็มีผลมาจากการกลับมาของ ฟาบินโญ่ 

2. สามประสานรูปแบบใหม่ไฉไลเหลือเกิน

     แม้ว่า โรแบร์โต้  ฟีร์มีโน่ จะพลาดลงสนามในเกมนี้เนื่องจากปัญหาบาดเจ็บ แต่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับ คล็อปป์ ที่ไม่ต้องคิดมากในการจัดแนวรุก เพราะจะได้จับ ดีโอโก้ โชต้า ลงประสานงานกับ ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่

    การใช้งาน โชต้า, มาเน่, “บังโม” ทำให้เกมรุกของ “เดอะ เร้ดส์” มีความวูบวาบและเต็มไปด้วยประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะครึ่งแรกทั้งสามคนสร้างสรรค์โอกาสในการยิงประตูได้หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะ ดาวเตะชาวโปรตุกีส แต่น่าเสียดายที่เขายังขาดความเฉียบคมทำให้อดมีชื่อบนสกอร์บอร์ด

    สำหรับ ซาลาห์ กับ มาเน่ ต้องบอกว่าถูกโฉลกกับสนามปุสกัส อารีน่า เพราะเกมแรกทั้งสองคนก็ยิงประตูได้ มาเลกสองเหมือนสวรรค์เขียนบทให้ทั้งคู่เป็นฮีโร่ เพราะสองประตูในแมตช์นี้ก็มาจากสองแข้งจากดินแดนกาฬทวีป

    แน่นอนว่าการยิงประตูไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ของ “เดอะ เร้ดส์” ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ด้วยฟอร์มของสามประสานยุคใหม่น่าจะทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการเล่นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ ซาลาห์ กับ มาเน่ ที่เริ่มกลับมาเฉียบคมอีกครั้ง 

3. กล้าใช้คู่เซนเตอร์แบ็กขนานแท้

    คล็อปป์ ตัดสินใจที่จะลองใช้เซนเตอร์แบ็กขนานแท้ลงเล่นในเกมนี้ มากกว่าที่จะจับ ฟาบินโญ่ มายืนหลังเพราะทำให้ทีมเสียประโยชน์ โดยการเลือกครั้งนี้ของเขาถูกต้องเนื่องจากทั้ง นาธาเนียล ฟิลลิปส์ และ โอซาน คาบัค เล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่นมากๆ

    ฟิลลิปส์ สมกับนักเตะกองหลังอย่างแท้จริง เพราะตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมรับได้อย่างแข็งแกร่ง สามารถจัดการลูกตั้งเตะของ ไลป์ซิก ได้ดีเยี่ยม และบางครั้งก็ยังขึ้นไปช่วยลุ้นทำประตูเวลาที่ทีมได้ลูกเซตพีซ แต่ข้อเสียของเขาก็คือความเชื่องช้าซึ่งโชคดีที่แนวรุกไลป์ซิก ไม่ได้รวดเร็วมากนักทำให้เขาไม่ต้องเจอกับงานยากลำบาก

    ขณะที่ คาบัค ต้องบอกว่าได้รับความไว้วางใจจาก คล็อปป์ มากยิ่งขึ้น โดย ดาวเตะวัย 20 ปีใช้ประสบการณ์สมัยเล่นกับ ชาลเก้ และดวลกับ ไลป์ซิก ในบ่อยๆ สามารถรับมือกับแนวรุกของคู่แข่งได้อย่างดีเยี่ยม และแทบไม่มีจุดอ่อนเลย

    ส่วนฟูลแบ็กซ้ายขวาถือว่ากลับมาอยู่ในมาตรฐานที่ดีโดยเฉพาะ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่กลับมาเป็นแบ็กขวาจอมบุกที่อันตรายอีกครั้ง ขณะที่เกมรับยังคงเป็นจุดอ่อนอยู่บ้าง แต่การที่ ฟิลลิปส์ กับ คาบัค เล่นได้เหนียวแน่น ช่วยแบ่งเบาภาระ “เจ้าหนูเทรนต์” ได้เยอะเลยทีเดียว 

4. พร้อมกลับมารบในพรีเมียร์ลีก

     สิ่งสำคัญในเวลานี้ก็คือ ลิเวอร์พูล ต้องรักษามาตรฐานที่ยอดเยี่ยมเหมือนในเกมชนะ แอร์เบ ไลป์ซิก ให้ได้ เมื่อพวกเขาต้องกลับมาลงแข่งขันในเกมพรีเมียร์ลีก ซึ่งแมตช์ต่อไปก็คือการเยือน วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ ในวันจันทร์ที่ 15 มี.ค.นี้

     ตอนนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที “หงส์แดง” จะคืนฟอร์มอีกครั้งโดยเฉพาะการเก็บชัยชนะติดต่อกัน หลังจากที่พวกเขาไม่เคยทำได้แบบนี้มานานนับตั้งแต่ที่ชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา

     ขณะที่เกมลีกนัดล่าสุดที่ชนะคู่แข่งได้ก็คือแมตช์สอย เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ฉะนั้นแมตช์ที่สามารถปราบ ไลป์ซิก พร้อมกับฟอร์มที่ยอดเยี่ยม จึงเป็นโอกาสดี คล็อปป์ จะนำมาใช้ในการกระตุ้นแข้ง “เดอะ เร้ดส์” ให้เดินหน้าเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่อง

     ที่สำคัญการพบกับ วูล์ฟส์ ที่อยู่ในช่วงฟอร์มหลุดเนื่องจาก 3 เกมลีกล่าสุดพวกเขาสะกดคำว่าชนะไม่เป็น เป็นจังหวะที่สำหรับ ลิเวอร์พูล ที่จะได้เรียกความมั่นใจในการเก็บชัยชนะในเกมพรีเมียร์ลีก อีกครั้ง 

     ยิ่งไปกว่านั้นเกมนี้จะต้องไปเล่นที่โมลินิวซ์ กราวน์ด น่าจะทำให้นักเตะ “หงส์แดง” รู้สึกฮึกเหิม เพราะช่วงนี้พวกเขาเล่นนอกบ้านมักจะทำผลงานได้ดี ส่วนการเล่นในแอนฟิลด์ค่อนข้างจะหลอนเพราะแพ้ติดต่อกันมาแล้ว 6 แมตช์ 

5. ความหวังหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่

     ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นความหวังสุดท้ายของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่จะทำให้พวกเขาได้กลับมาโลดแล่นในการแข่งขันรายการนี้อีกครั้งในฤดูกาลหน้า หากพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ถ้วยใบนี้มาครอบครองได้

    ผลงานในพรีเมียร์ลีกเวลานี้ต้องยอมรับว่า “เดอะ เร้ดส์” แทบจะหมดความหวังในการติดท็อปโฟร์เนื่องจากพวกเขาหล่นไปอยู่อันดับ 8 มีเพียงแค่ 43 คะแนนห่างจากทีมอันดับ 4 นั่นก็คือ เชลซี ถึง 7 แต้ม ฉะนั้นจึงเป็นงานที่หนักหนาสาหัสเหลือเกินที่พวกเขาจะคว้าโควตาไปลุยถ้วยใบโตยุโรป

     ตอนนี้ คล็อปป์ แอนด์โค. คงจะต้องพยายามเล่นเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยสมาธิและความมุ่งมั่นอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถพลาดท่าร่วงตกรอบได้ เพราะหากเป็นแบบนั้นโอกาสที่จะได้กลับมาดวลในรายการนี้แทบจะเลือนลางเต็มที

    อย่าลืมว่าศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นักเตะระดับโลกจำนวนมากอยากเล่น และถ้า ลิเวอร์พูล พลาดโควตาสำคัญนี้ คงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะโน้มน้าวผู้เล่นชั้นยอดให้ย้ายมาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ 

   ทอมเม้ง