เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูล ต้องงงเป็นไก่ตาแตกหลังจากนำทัพ “หงส์แดง” ทำผลงานร่วงกราวรูดได้อย่างต่อเนื่องล่าสุดแพ้ ฟูแล่ม 0-1 ที่แอนฟิลด์ ในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา
“เดอะ เร้ดส์” แพ้คาบ้านในเกมนี้ทำให้พวกเขามีสถิติสุดเลวร้ายในการแพ้ที่แอนฟิลด์ 6 แมตช์ติดต่อกัน ที่สำคัญยิงประตูคู่แข่งได้แค่ 2 ลูกจากการเล่นเกมลีกในถิ่นตัวเอง ซึ่งต้องบอกเลยว่านี่คือวิกฤติเกมรุกที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก
สำหรับตอนนี้สถานการณ์ในการลุ้นอันดับท็อปโฟร์ของ “หงส์แดง” ยิ่งห่างไกลเต็มที่ และหากฟอร์มยังไม่ฟื้นแบบนี้ต่อไป มีสิทธิ์ที่พวกเขาจะทำอันดับร่วงไปอยู่ครึ่งล่างของตารางลีก ซึ่งถึงว่าย่ำแย่อย่างมาก
1. ความล้มเหลวในการวางแผนของคล็อปป์
จุดที่ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ โดนวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดนับตั้งแต่ที่เข้ามากุมบังเหียนลิเวอร์พูล ก็คือการที่พวกเขาขาดแผนสำรอง หรือ “แผนบี” หากทีมต้องประสบปัญหาในการเล่น หรือโดนคู่แข่งจับทางได้
สำหรับแมตช์รับมือกับ ฟูแล่ม ต้องบอกว่า นายใหญ่ชาวเยอรมัน ทำสิ่งที่สาวก “เดอะ ค็อป” ต้องอึ้ง เพราะเขาเลือกที่จะโรเตชั่นทีมเยอะมาก ซึ่งจะบอกว่านี่คือ “แผนบี” ของ คล็อปป์ ก็ไม่น่าจะใช้ เนื่องจากทีมจำเป็นต้องคว้าชัยชนะ แต่ดันใส่ผู้เล่นที่ดูแล้วเหมือนกับ “หงส์แดง” ถอดใจกับการลุ้นท็อปโฟร์ไปแล้ว
ต้องบอกเลยว่าการปรับเปลี่ยนทีมในแมตช์นี้ถือเป็นความล้มเหลวอย่างมากสำหรับ คล็อปป์ เพราะเขายึดแท็กติกเดิมๆ ในการให้แนวรับดันขึ้นสูง โดยฟูลแบ็กทั้งสองข้างมักวิ่งเติมเกมบุกและทิ้งเซนเตอร์แบ็กเอาไว้ ซึ่งนั่นทำให้ทีมมีพื้นที่ว่างในแผงหลังเยอะมาก
แน่นอนว่าสาวก “เดอะ ค็อป” คงมีคำถามคาใจว่าทำไม คล็อปป์ ถึงโรเตชั่นทีมเยอะมากโดยเฉพาะเกมรับที่ส่ง เนโก วิลเลี่ยมส์, นาธาเนียล ฟิลลิปส์ และ รีส วิลเลี่ยมส์ ลงเป็นตัวจริง เพราะการทำแบบนี้มันดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเกมพรีเมียร์ลีกไปแล้ว !!
2. เกมรุกไร้ประสิทธิภาพเกินจะรับไหว
ในเวลานี้ต้องยอมรับว่าเกมรุกของ ลิเวอร์พูล ขาดประสิทธิภาพจนหน้าใจหาย เพราะพวกเขายิงได้แค่ 2 ประตูจากการลงเล่น 6 เกมหลังสุดในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัญหาใหญ่ของ “หงส์แดง” ไม่ได้อยู่ที่เกมรับอย่างที่หลายคนกังวล
ช่วงต้นฤดูกาลแฟนบอล “เดอะ เร้ดส์” เป็นห่วงว่าทีมจะมีปัญหาเนื่องจากพวกเขามีปัญหานักเตะกองหลังตัวหลักบาดเจ็บหนักทั้ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โจ โกเมซ จากนั้นก็มาถึงคิว โฌแอล มาติป แต่การใช้ ฟาบินโญ่ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กลับทำให้ทีมมีเกมรับที่แข็งแกร่ง
สวนทางกับแนวรุกของทีมทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ฟอร์มร่วงกราวรูดตั้งแต่ช่วงคริสต์มาสจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ ดีโอโก้ โชต้า เพิ่งจะหายเจ็บกลับมาฟอร์มก็ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย
ที่สำคัญฟอร์มของ ซาลาห์ ในเกมนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะเกมรุกก็ไม่ดี แถมยังมีส่วนทำให้ทีมต้องเสียประตูก่อนหมดเวลาครึ่งแรกจากการเล่นที่ประมาทบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ งานนี้บอกเลยว่า คล็อปป์ ต้องรีบจูนสภาพจิตใจบรรดากองหน้าของทีมให้คืนฟอร์มให้เร็วที่สุด
3. ไม่มีใครกลัววิธีการเล่นวิ่งสู้ฟัดของ ลิเวอร์พูล อีกแล้ว
ย้อนไปช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่มีการเล่นที่ดุดันอย่างมาก จนหลายๆ คนยกให้พวกเขาเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลแนว “เฮฟวี่เมทัล” ได้มันสนุกเร้าใจ และไม่มีคำว่าเหนื่อยล้า จนบรรดาคู่แข่งต่างเข็ดขยาดเวลาที่เจอกับ “หงส์แดง”
อย่างไรก็ตามในช่วงปลายเดือนธันวามคที่ผ่านมา “เดอะ เร้ดส์” ฟอร์มร่วงกราวรูดแบบผิดหูผิดตา โดยพวกเขาแพ้ 6 จาก 7 เกมลีกหลังสุด และยังเป็นการแพ้ 6 แมตช์ติดต่อกันในบ้าน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทีมสร้างสถิติไร้พ่ายในแอนฟิลด์ยาวนานกว่า 3 ปี
หนึ่งในผลงานที่ย่ำแย่ของ ลิเวอร์พูล มาจากการที่คู่แข่งของพวกเขาไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นกับแนวทางการเล่นที่เน้นเดินหน้าฆ่าลูกเดียวเหมือนที่เคยทำได้ เพราะนักเตะของ “หงส์แดง” ไม่ได้มีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
แค่ได้เห็นชื่อ 3 ประสาน มาเน่, ซาลาห์ และ ฟีร์มีโน่ บรรดาแนวรับคู่แข่งก็ไม่ได้ยี่หระที่จะรับมือกับพวกเขา เพราะวิธีการเล่นแบบเดิมๆ ทำให้ไม่มีอะไรต้องหวาดหวั่นในการรับมือกับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว ที่สำคัญตอนนี้สภาพจิตใจของ “หงส์แดง” ย่ำแย่เหลือเกิน จึงไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงในการเจอกับพวกเขาในเวลานี้
4. เกอิต้า-โชต้า คืนทัพตัวจริง
หนึ่งในสิ่งที่น่าจะพอยิ้มได้ในแมตช์นี้ก็คือการได้เห็น นาบี เกอิต้า และ ดีโอโก้ โชต้า ฟิตสมบูรณ์กลับมาลงเล่นตัวจริงอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งสองคนหายไปจากสนามมานาน ซึ่งนี่ถือเป็นสิ่งที่ คล็อปป์ ต้องการอย่างมาก เพราะช่วงที่ผ่านมาเขามีตัวเลือกในแดนกลางและแดนหน้าที่จำกัดเหลือเกิน
การที่ได้ เกอิต้า มาช่วยสนับสนุนเกมรุกทำให้ ลิเวอร์พูล มีการเล่นที่ดุดันมากยิ่งขึ้น โดยนักเตะได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถเฉพาะตัว และความมุ่งมั่นในการช่วยเกมรุกของทีม แต่น่าเสียดายที่สภาพร่างกายของเขาเพิ่งจะสมบูรณ์ทำให้ยังไม่ได้โชว์พลังขับเคลื่อนมากนัก
ขณะที่ โชต้า ทำผลงานได้โดดเด่นในช่วงต้นเกม และมีโอกาสยิงประตูในช่วงครึ่งหลังด้วย แต่น่าเสียดายที่ทำไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตามเมื่อมองภาพรวมแล้วถือว่าว่าทั้งสองคนเล่นได้ดีมากๆ และในช่วงที่เหลืออยู่ของซีซั่นน่าจะช่วยให้ “เดอะ เร้ดส์” ทำผลงานได้ดีขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นการที่ เกอิต้า และ โชต้า คืนสู่ทัพใหญ่จะทำให้เกิดการแข่งขันภายในทีมมากยิ่งขึ้น และส่งผลให้บรรดาผู้เล่นที่เหลืออยู่ต้องพยายามรีดฟอร์มเก่งออกมา ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีสำหรับ คล็อปป์ ในการเลือก 11 ตัวจริงลงสนาม
5. แอนฟิลด์รีสอร์ทแอนด์สปา
ตอนนี้ต้องบอกเลยว่า แอนฟิลด์ ไม่ใช่สนามที่น่ากลัวสำหรับทีมเยือนอีกต่อไปแล้ว เพราะฟอร์มการเล่นของ ลิเวอร์พูล ในเวลานี้พร้อมที่จะแพ้ได้ทุกทีม โดยสถิติแพ้คาบ้าน 6 แมตช์ติดต่อกันในลีก เป็นสิ่งที่สาวก “เดอะ ค็อป” ไม่ได้เห็นมานานแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นการแพ้ในเกมนี้ทำให้พวกเขามีเพียงแค่ 43 คะแนนเท่านั้นรั้งอันดับ 7 และมีโอกาสที่จะโดน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ แซงด้วย ฉะนั้นตอนนี้เรื่องท็อปโฟร์สำหรับ “หงส์แดง” น่าจะห่างไกลกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
สิ่งเดียวที่แฟนบอล “หงส์แดง” คาดหวังได้ในตอนนี้ก็คือการลุ้นความสำเร็จในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยเกมเลก 2 ที่จะพบกับ แอร์เบ ไลป์ซิก พวกเขาได้เป็นเจ้าบ้าน แต่ต้องไปแข่งสนามกลางที่ประเทศฮังการี ซึ่งต้องบอกเลยว่าตอนนี้การอยู่ห่างๆ แอนฟิลด์ น่าจะเป็นสิ่งที่สาวก “เดอะ ค็อป” ต้องการ !!
ทอมเม้ง
Add friend ที่ @Siamsport