ลิเวอร์พูล ทำให้สาวก “เดอะ ค็อป” ได้ยิ้มอย่างมีความสุขแค่แป๊บเดียว ตอนนี้พวกเขาต้องกลับมาอมทุกข์อีกครั้ง เพราะเกมล่าสุดเปิดรังแอนฟิลด์ พ่าย เชลซี 0-1 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ตอนนี้ทีมร่วงไปอยู่อันดับ 7 แล้ว
สิ่งเดียวที่ทำให้แฟนบอล “เดอะ เร้ดส์” ยังพอยิ้มได้บ้างนั่นก็คือการได้เห็น ฟาบินโญ่ และ ดีโอโก้ โชต้า กลับมาลงสนามอีกครั้ง ส่วนที่เหลือมีแต่ทุกข์กับเศร้า เพราะทีมยังคงเล่นไม่ดุดัน ที่สำคัญเกมรุกยังขาดจินตนาการในการสร้างสรรค์เกม
ความพ่ายแพ้ในเกมนี้นอกจากจะทำให้ ลิเวอร์พูล แพ้ในบ้าน 5 แมตช์ติดต่อกันเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรแล้ว ยังทำให้โอกาสในการทำอันดับไปลุ้นติดท็อปโฟร์ของพวกเขาเริ่มห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ
1. แวร์เนอร์ สร้างปัญหาให้ ลิเวอร์พูล ตลอด
โธมัส ทูเคิ่ล ตัดสินใจให้โอกาส ติโม แวร์เนอร์ ลงเล่นเป็นตัวจริงด้วยการจับเขายืนกองหน้าตนเดียว และผลงานของนักเตะสามารถตอบแทบความไว้วางใจของ “บอส” เพื่อนร่วมชาติได้ดีเยี่ยม และเกือบที่จะยิงประตูได้ด้วย
แวร์เนอร์ สามารถขู่แนวรับของ “หงส์แดง” ได้ตลอด โดยเขาใช้ทักษะและความสามารถเฉพาะตัวในการฉีกแผงแบ็กโฟร์เจ้าบ้านได้เรื่อยๆ ที่สำคัญยังมีโอกาสได้ทดสอบความหนึบของ อลีสซง เบ็คเกอร์ ด้วย
นอกจากนี้ หัวหอกทีมชาติเยอรมนี ยังโชว์ความเร็วในการวิ่งฉีกกองหลังก่อนที่จะแตะบอลหลบ อลีสซง เข้าไปส่งบอลซุกก้นตาข่าย แต่น่าเสียดายที่จังหวะดังกล่าว “วีเออาร์” จับได้ว่าเขาล้ำหน้าเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ผลงานของ แวร์เนอร์ ทำให้ ฟาบินโญ่ กับ โอซาน คาบัค ไม่รู้ว่าจะเปิดตำราพิชัยยุทธรับมือกับเขายังไง เพราะความเร็วของนักเตะรายนี้ เป็นเรื่องยากที่จะจัดการได้จริงๆ ต้องยอมรับว่าหากวันนี้เทพแห่งโชคอยู่ข้างแวร์เนอร์ เขาคงมีชื่อบนสกอร์บอร์ดอย่างน้อย 1 ประตูแหงๆ
2. ฟาบินโญ่-โชต้า กลับมาได้แล้ว
แม้ว่าฟอร์มของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ยังคย่ำแย่ต่อเนื่องก็ตาม แต่สิ่งที่ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยิ้มได้บ้างก็คงหนีไม่พ้นการที่ได้เห็น ฟาบินโญ่ และดีโอโก้ โชต้า กลับมาฟิตสมบูรณ์ลงสนามช่วยทีมอีกครั้ง
กองกลางทีมชาติบราซิล กลับมาประจำการในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กจำเป็นอีกครั้ง หลังจากไม่ได้ช่วยในช่วงที่ผ่านมา โดยการลงทำหน้าที่เป็นตัวจริง แม้ว่าจะดูติดๆ ขัดๆ ไปบ้าง แต่อย่างน้อยๆ เกมรับของ “หงส์แดง” ยังพออุ่นใจได้บ้าง
แม้ว่าในจังหวะที่เสียประตู ฟาบินโญ่ อาจจะมีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบ เพราะเขาไล่ตาม เมสัน เมาท์ ไม่ทัน จนทำให้หัวหอกอนาคตไกล เชลซี มีพื้นที่ลากบอลแถวๆ เขตโทษ ก่อนจะยิงปั้นโค้งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย แต่ภาพรวมถือว่าฟอร์มของเขาช่วยทำให้เกมรับของ ลิเวอร์พูล ค่อนข้างแน่นขึ้น
ส่วน โชต้า ที่ได้ลงเล่นในครึ่งหลังก็ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ในความผิดหวังของสาวก “เดอะ ค็อป” เพราะการได้เห็นเขาลงสนามด้วยร่างกายที่ฟิตเต็มร้อย ทำให้ในเกมต่อๆ ไปพวกเขาจะมีเกมรุกที่หลากหลายกว่าการที่จะมีแค่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เท่านั้น
นอกจากนี้ ดาวเตะชาวโปรตุกีส จะกดดัน 3 ประสาน “หิน เหล็ก ไฟ” ที่จะต้องงัดฟอร์มเก่งออกมาให้ได้ เพราะหากคนใดคนหนึ่งยังทำผลงานได้น่าผิดหวัง แบบนี้โอกาสที่จะต้องไปนั่งตบยุงเป็นตัวสำรอง
3. เชลซี เด่นทุกตำแหน่งโดยเฉพาะเกมรับ
ผลงานชิ้นโบว์แดงในเกมที่แอนฟิลด์ ต้องยกเครดิตส่วนหนึ่งให้กับ ทูเคิ่ล ที่วางหมากมาจัดการกับเจ้าบ้านได้เป็นอย่างดี โดยตั้งแต่แดนหน้า กองกลาง และแนวรับทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะ “หงส์แดง” แทบจะหาโอกาสในการเจาะเข้าทำประตูไม่ได้เลย
สำหรับจุดที่โดดเด่นที่สุดของ “สิงโตน้ำเงินคราม” ในแมตช์นี้ก็คือแนวรับของพวกเขา เพราะทั้ง ซาลาห์, มาเน่ และ ฟีร์มีโน่ ไม่สามารถแผลงฤทธิ์อะไรได้เลย ทุกครั้งที่ทั้งสามคนบุกเข้ามาก็ทำได้แค่เลี้ยงวนไปวนมา และสุดท้ายต้องคืนหลัง หรือไม่ก็โยนเข้าไปในเขตโทษ ซึ่ง เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า, อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ เก็บกินเรียบวุธ
ยิ่งตอนที่ คล็อปป์ เปลี่ยน ซาลาห์ ออก และโยก มาเน่ มาเล่นทางฝั่งขวา สถานการณ์ยิ่งแย่เพราะ ดาวเตะชาวเซเนกัล ไม่สามารถต่อกรกับ รือดิเกอร์ ได้เลย ทุกครั้งที่ทั้งคู่เจอกัน สุดท้ายดาวเตะทีมชาติเยอรมนี จัดการได้ตลอด
ต้องยอมรับว่าทั้ง รือดิเกอร์ และ คริสเตนเซ่น ทำผลงานได้โดดเด่นจริงๆ และจัดการเกมบุกของ ลิเวอร์พูล จนไม่สามารถหาพื้นที่เข้าไปเจาะประตูในเขตโทษได้เลย
4. ชัยชนะในแอนฟิลด์มันช่างยากลำบากเหลือเกิน
แอนฟิลด์ เคยได้ชื่อว่าเป็นป้อมปราการที่บรรดาทีมเยือนหวาดหวั่นเหลือเกิน โดยเฉพาะในยุคคล็อปป์ พวกเขาเคยสร้างประวัติศาสตร์สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นในเกมลีกนานกว่า 3 ปี ด้วยสถิติไม่แพ้ใครเลย 68 แมตช์
หลังจากสถิติที่ยาวนานยิ่งกว่าวิ่งมาราธอนในบ้านตัวเอง แต่ตอนนี้ “หงส์แดง” กลายเป็นทีมที่ควานหาชัยชนะไม่เจอเลยในสนามเหย้า ทั้งๆ ที่พวกเขาก็เล่นที่เมกกะลูกหนังที่เดิม เพียงแค่ไม่มีสาวก “เดอะ ค็อป” เข้ามาส่งเสียงกระตุ้นเท่านั้น
แมตช์พ่ายให้กับ เชลซี ในเกมล่าสุด ทำให้ตอนนี้พวกเขาแพ้รวดเรียบวุธในแอนฟิลด์ 5 นัดติดต่อกัน และยังเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่แฟนบอล “เดอะ เร้ดส์” จะสามารถเข้าใจได้จริงๆ
สำหรับชัยชนะล่าสุดที่พวกเขาทำได้ในบ้านตัวเองก็ต้องย้ายไปในช่วงกลางเดือนธันวาคมนั่นก็คืเกมที่เฉือนชนะ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-1 หลังจากนั้นคำว่า “สามแต้ม” ในแอนฟิลด์ ก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย
ในเวลานี้ผลงานในบ้านเป็นสิ่งที่ คล็อปป์ แอนด์โค. ต้องรีบแก้ปัญหาเป็นการด่วน หากยังไม่สามารถคืนฟอร์มได้เร็วๆ อาจจะสายเกินแก้ และเป้าหมายที่จะติดท็อปโฟร์ ค่อยๆ เลือนลางไปเรื่อยๆ แถมการลุ้นไปเล่นยูโรปา ลีก ก็อาจจะพลาดไปด้วยก็ได้
5. ท็อปโฟร์คงไม่พอสำหรับ เชลซี
ชัยชนะของ เชลซี ในเกมนี้นอกจากจะทำให้พวกเขากลับขึ้นไปอยู่อันดับ 4 ในตารางลีกแล้ว แต่หากมองจากคะแนนในเวลานี้ “สิงโตน้ำเงินคราม” มีแต้มตามหลัง เลสเตอร์ ซิตี้ อันดับ 3 และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อันดับ 2 ไม่กี่คะแนนเท่านั้น
ทีมของกุนซือโธมัส ทูเคิ่ล ตาม “เดอะ ฟ็อกซ์” สามคะแนน และ “เร้ด เดวิลส์” สี่แต้ม จากโปรแกรมที่ยังเหลืออีก 11 เกม แน่นอนว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะเดินหน้าเก็บคะแนนแซงหน้าทั้งสองทีมได้ไม่ยากเย็นนัก
ฟอร์มของ “สิงห์บลูส์” ในยุคของ ทูเคิ่ล ต้องบอกว่าแข็งแกร่งเกินจะบรรยาย เพราะนับตั้งแต่ที่เข้ามาคุมทัพ พวกเขายังสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นเลย ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเห็น เชลซี เดินหน้าเก็บแต้มอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นหาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ยังคงฟอร์มสะดุดแบบนี้อีกนัดหรือสองนัด งานนี้แฟนบอลของพวกเขาอาจจะเสียวสันหลังก็ได้ เพราะไม่ใช่แค่จะหลุดอันดับที่อยู่ในตอนนี้เท่านั้น แม้แต่ท็อปโฟร์ก็มีสิทธิ์กระเด็นด้วย
เพราะตอนนี้ เอฟเวอร์ตัน และ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ฟอร์มกำลังดีวันดีคืนเช่นกัน ส่วน ลิเวอร์พูล ต้องบอกว่าอาจจะมีภาษีน้อยกว่า เพราะพวกเขายังอยู่ในช่วงมึนงงในปีฉลู เอาแค่ประคองตัวให้ได้ตั๋วไปเล่นยูโรป้า ลีก ยังบอกเลยว่ายากเหลือเกิน !!!
ทอมเม้ง
Add friend ที่ @Siamsport