หงส์ระวัง!ดวลแข้งจอมแสบ ‘เรือใบ’ขอกู้ชื่อรอทะลวงไส้นอริชบอลพรีเมียร์ – หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ความพร้อมเจ้าถิ่น ลิเวอร์พูล ลงเล่นเกมแรกด้วยการบุกไปถล่มเอาชนะ “นกขมิ้น” นอริช ซิตี้ 3-0 เกมนี้มีข่าวดีเมื่อ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ๊กซ้ายจอมปอดเหล็กหายจากอาการบาดเจ็บลงซ้อมได้แล้ว อยู่ที่ว่าจะฟิตทันหรือไม่ เช่นเดียวกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และธีอาโก้ อัลคันทาร่า ที่กลับมาลงเล่นเกมอุ่นเครื่องกับแอสตัน วิลล่า น่าจะมีชื่อในเกมนี้ รูปแบบการจัดทัพของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังยึดแผน 4-3-3 เบี้องต้นน่าจะใช้, ฟาบินโญ่ได้สตาร์ทตัวจริง หลังจากสำรองในเกมแรก โดยจะคุมกลางร่วมกับ เจมส์มิลเนอร์ และนาบี เกอิต้า ส่วนสามประสานในแนวรุกใช้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เล่นร่วมกับ ดิเอโก้ โชต้า และซาดิโอ มาเน่ โดยมี โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ เป็นตัวสอดแทรก

ฟากฝั่ง เบิร์นลีย์ ของ ฌอน ไดซ์ เกมแรกทำท่าว่าจะดีขึ้นนำ ไบร์ทตัน อย่างรวดเร็วก่อนจะมาโดนรัวแซงขึ้นหลังพ่ายคารังไป 1-2 เกมนี้ไม่มี เดล สตีเฟ่นส์ และเควิน ลอง ที่มีอาการบาดเจ็บ ขุมกำลังยังเป็นผู้เล่นชุดเดิมจากซีซั่นที่แล้ว เล่นบอลไดเร็กต์ 4-4-2 เบน มี และเจมส์ ทาร์คอฟสกี้ เป็นหัวใจในแนวรับ โดยมี ดไวท์ แม็คนีล และโยฮัน เบิร์ก กุดมุนด์สสัน ขึ้นเกมริมเส้นป้อนบอลให้กับคู่หัวหอก “ไอ้ไม้” คริส วู้ด และเจย์ โรดริเกวซ

สถิติที่น่าสนใจก็คือ 4 ฤดูกาลหลังสุดที่พบกัน ณ รังแอนฟิลด์ “หงส์แดง”เจอกับปัญหามาโดยตลอด เริ่มจากฤดูกาล 2017-18 เสมอ 1-1 ซึ่งเป็นการแจ้งเกิดขึ้นนิค โป๊ป นายประตูดาวรุ่ง จากนั้นในซีซั่น 2019-20 เสมอ 1-1 เสียสถิติชนะรวดในถิ่นแอนฟิลด์ พลาดการเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่จะชนะรวดในบ้านตลอดทั้งฤดูกาล และหนักสุดคือซีซั่นที่แล้ว 2020-21 แพ้ 0-1 เสียสถิติไร้พ่ายในถิ่น 68 เกมติดต่อกันในบอลลีก รวมถึงเป็นการชนะที่แอนฟิลด์ ครั้งแรกตั้งแต่ปี 1974 ของเบิร์นลี่ย์ อีกด้วย ซึ่งในวันนั้น “หงส์แดง” อยู่ในช่วงย่ำแย่ยิงใครไม่ได้ 4 ติดรอบ 20 ปี ส่วนชัยชนะนัดเดียวในรอบ 4 ปีหลังสุดนั้น ต้องย้อนไปเมื่อฤดูกาล 2018-19 ด้วยสกอร์ 4-2 โดยนายประตูเบิร์นลี่ย์ คือ ทอม ฮีตัน ส่วน 3 เกมที่ไม่แพ้เลยนั้น ด่านสุดท้ายคือ โป๊ป ที่จะลงในเกมนี้ด้วย

จากนั้นในเวลา 21.00 น. “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ซิตี้ แชม์เก่า และเต็ง 1 ที่ประเดิมเกมแรกด้วยการบุกพ่าย สเปอร์ส 0-1 จะดวลกับ “นกขมิ้นเหลืองอ่อน”นอริช ซิตี้ ที่แพ้คาบ้านต่อ ลิเวอร์พูล 0-3 โดยเจ้าบ้านจะไม่มี อิลคาย กุนโดกัน มิดฟิลด์ที่มีอาการบาดเจ็บเช่นเดียวกับ ฟิล โฟเด้น บรรดานักเตะตัวหลักอย่าง จอห์น สโตนส์ และไคล์ วอล์คเกอร์ กลับมาซ้อมพร้อมเป็นตัวจริง คาดว่า เป๊บ กวาร์ดิโอล่า จะเน้นมากขึ้น มีแววที่ เควิน เดอ บรอยน์ จะได้ออกสตาร์ทตัวจริง ทำเกมรุกร่วมกับ แจ็ค กรีลิช และริยาด มาห์เรซ และอาจจะมีการดันเอา ราฮีมสเตอร์ลิ่ง ขึ้นไปเล่นฟอลส์ไนน์

ทางฝั่ง “นกขมิ้น” ไม่มี แซม บายรัม ที่มีอาการบาดเจ็บนอกนั้นถือว่าไม่มีปัญหาอะไรพร้อมลงเล่นได้หมด กุนซือ ดาเนี่ยล ฟาร์เค่ จัดทีมมาสู้ในระบบ 4-3-3 บิลลี่ กิลมอร์ ทำหน้าที่คุมจังหวะแดนกลางร่วมกับ ปิแอร์-ลีส-เมลู และลูคัส รุปป์ โดยมีท็อดด์ แคนท์เวลล์, ตีมู ปุ๊กกี้ และมิล็อต ราชิชา เป็นสามประสานในเกมรุก

สถิติการเจอกันของทั้งสองทีม 5 เกมหลังสุด แมนฯซิตี้ เหนือกว่าเอาชนะได้ 3 เสมอ 1 และแพ้ 1 เกมล่าสุดที่พบกัน “เรือใบ” เล่นในรังถล่มไป 5-0

ทางด้านศึก ลา ลีกา สเปน “เจ้าบุญทุ่ม”บาร์เซโลน่ายุคไร้เงา ลีโอเนล เมสซี่ จะบุกไปเยือนแคว้นบาสก์ ดวลกับ แอธเลติก บิลเบา ในเวลา 03.00 น.

เจ้าถิ่นออกไปเสมอกับ เอลเช่ มาแบบไม่มีสกอร์ 0-0 ในเกมแรก ยังคงไม่มี ยูรี เบร์ชิเช่ และอินิโก้ กอร์โดบา ที่มีอาการบาดเจ็บ ส่วน อันเดร์ กาป้า รอเช็คความฟิต ทีมชุดนี้คุมทัพโดย มาร์เซลิโญ่ การ์เซีย โตราล ใช้แผน 4-4-2 เป็นหลัก ตัวเก๋าอย่าง ออสการ์ เด มาร์กอส ถูกลดบทบาทให้ไปเล่นแบ๊กขวา ส่วนเกมรุกมี อีเกร์ มูเนียอิน และอีญากี้ วิลเลี่ยมส์ เป็นหัวใจหลัก

ทีมเยือน “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ประเดิมยุคไม่มี เมสซี่ ออกสตาร์ทได้อย่างร้อนแรงด้วยการถล่มเอาชนะเรอัล โซเซียดัด มาได้ 4-2 เกมนี้ โรนัลด์ คูมัน ยังหมดสิทธิ์ใช้งาน อุสมาน เดมเบเล่, มาร์ค-อังเดร แตร์สเตเก้น, อันซู ฟาติ และเซร์คิโอ้ กุน อเกวโร่ ที่มีอาการบาดเจ็บ ในรายของ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ที่มีข่าวว่าจะได้สานต่อ เบอร์ 10 จาก เมสซี่ ยังไม่ฟิต คาดว่าเกมนี้จะมาในระบบ 4-3-3 เซร์คิโอ้ บุสเกสต์, แฟร้งกี้ เดอยองก์ และเปดรี้ จะคุมแดนกลาง สามประสานในเกมรุกใช้ อองตวน กรีซมันน์ เล่นร่วมกับ เมมฟิส เดปาย และมาร์ติน เบรธเวต