แกรนด์โอเพนนิ่ง“สร้างไทย” ทีม“สมคิด-สี่กุมาร” มาแล้ว “กรณ์ กล้า”แต่งตัวรอฟีเจอริ่ง – ผู้จัดการออนไลน์



ป้อมพระสุเมรุ

บรรยากาศยังไม่เอื้อ แต่พร้อมสุดๆ แล้ว

พรรคไทยสร้างไทย ยี่ห้อใหม่ภายใต้การนำของ  “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ขึ้นกุมบังเหียนในฐานะประธานพรรค หลังเปิดบ้านพักย่านลาดปลาเค้า ตั้งเป็นที่ทำการพรรคชั่วคราวมาหลายเดือน

เพิ่งได้ฤกษ์จัดแกรนด์โอเพนนิ่ง ประชุมผู้บริหารพรรค ตัวแทนสาขา ตัวแทนสมาชิกประจำเขต และสมาชิกพรรคทั่วประเทศ ผ่านระบบ Zoom ตามสมัยนิวนอร์มอล เมื่อวันที่ 4 ก.ค.64 ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่องาน  “ไทยสร้างไทย เดินหน้าสร้าทงประเทศไทย” 

หลังจากที่เดิมปักหมุดวันแซยิดครบ 60 ขวบ “หญิงหน่อย” เมื่อ 1 พ.ค.64 กะจัดอีเวนท์เปิดตัวพรรคใหญ่ แต่ติดล็อกโควิด-19 ระลอก 3 เสียก่อน

แม้ไม่ได้จัดงานใหญ่ไฟกระพริบตามตั้งใจ แต่ตลอดระยะเวลาหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประทับรับรองพรรคอย่างเป็นทางการ “ไทยสร้างไทย” ก็มีมูฟเมนท์เคลื่อนไหวมาโดยตลอด

ด้วยความที่ศูนย์กลางความเคลื่อนไหวอยู่ที่ “สุดารัตน์” เป็นหลัก

กรอปกับทีมงานที่ออกหน้าล้วนแล้วแต่เป็นคนรุ่นใหม่ไร้ประสบการณ์ทางการเมือง จนถูกค่อนขอดว่า คงเป็นแค่ “พรรคเอสเอ็มอี” อาศัยช่องรัฐธรรมนูญ 2560 เก็บ “คะแนนตกน้ำ” ช่วงชิงเก้าอี้ปาร์ตี้ลิสต์ไม่กี่ที่นั่งเท่านั้น

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

ทว่า การเปิดตัวเมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา นอกเหนือจาก “ตัวชูโรง” อย่าง “หญิงหน่อย” ที่เป็นประะธานพรรคแล้ว ยังมี “นักแสดงนำ” คนการเมืองมีชื่อมาร่วมด้วย ทั้ง  โภคิน พลกุล-พงศกร อรรณนพพร-วัฒนา เมืองสุข-ต่อพงศ์ ไชยสาส์น หรือ “ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี  ที่ถือเป็นการคัมแบ็กสู่การเมืองอีกครั้งในรอบ 15 ปีเต็ม

 ไม่เท่านั้น ยังมีการเปิดตัวอดีตรัฐมนตรี, อดีต ส.ส. และนักการเมืองท้องถิ่น ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เป็นตัวแทนภาคเหนือ, ภาคอีสาน, ภาคตะวันออก, ภาคใต้ และ กรุงเทพมหานคร ร่วมเปิดตัวในครั้งนี้ด้วย อาทิ สาคร พรหมภักดี อดีต ส.ส.สกลนคร หลายสมัย, สามารถ แก้วมีชัย แกีต ส.ส.เชียงราย หลายสมัย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร, ประวัฒน์ อุตตโมต อดีต ส.ส.จันทบุรี หลายสมัย อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์, ทองหล่อ พลโคตร อดีต ส.ส.มหาสารคาม, ฟาริดา สุไลมาน อดีต ส.ส.สุรินทร์ เป็นต้น 

เป็นการโชว์แสนยานุภาพของ “เจ้าแม่นครบาล” ที่ไม่คิดทำเล็กแค่ “พรรค กทม.” แต่พร้อมสยายปีกเป็นพรรคใหญ่ ปูพรมส่ง ส.ส.ทุกเขตทั่วประเทศ

 ขณะที่พื้นที่ กทม. เขตอิทธิพลของ “สุดารัตน์” ก็ไม่น้อยหน้า มีทั้ง ธวัชชัย ทองสิมา อดีต ส.ก.หลายสมัย ทายาทเจ้าของ รพ.นครธน, เอกพจน์ วงศ์อารยะ อดีต ส.ส.กทมวง เขตสะพานสูง, “เสี่ยตุ่น” ประพนธ์ เนตรรังษี อดีต ส.ก.หลายสมัย หรือ “เสี่ยแมน” แมน เจริญวัลย์ อดีตรองประธานสภา กทม. และอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตบึงกุ่ม-คันนายาว พรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่กว้างขวางในพื้นที่ ตลอดจนอดีต ส.ก.-ส.ข.หลายพรรคที่โดดขึ้นเรือไทยสานร้างไทยแล้ว 

ยังไม่รวม “ลูกเจ๊” อีกหลายคนที่ตอนนี้ติดสถานะ ส.ส. ต้องฝังตัวอยู่ที่ค่ายเก่า พรรคเพื่อไทย ไปพลางก่อน

ด้วยความที่ชื่อ “สุดารัตน์” ขายได้ในเมืองหลวง ก็เลยมีข่าวว่า “ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.” แทบทุกคนที่ปรากฎชื่อ เทียวไล้เทียวขื่อมาขอแรงสนับสนุนจาก “เจ้าแม่นครบาล” แบบหัวกระไดไม่แห้ง

ทั้งชื่อชั้น “สุดารัตน์” ร่วมด้วย “ขุนพล-ทีมงาน” ที่ล้วนแล้วแต่เป็นระดับดาวฤกษ์ ถึงเทศกาลเลือกตั้งเมื่อไร “ไทยสร้างไทย” ก็ถือว่าน่าจับตาไม่น้อย ช่วงนี้อาศัยความถนัด บวกลูกขยัน ออกข่าวถล่ม “รัฐบาลลุง” สร้างแบรนด์ให้ติดตลาดไปก่อน

อุตตม สาวนายน

กรณ์ จาติกวณิช

เป็นจังหวะคาบเกี่ยวกับ  “กลุ่มสี่กุมาร”  ที่มีข่าวเนืองๆ ต่อเนื่องว่าตระเตรียมตั้งพรรคการเมืองใหม่ หลังถูกอัปเปหิพ้นวงจรอำนาจ “รัฐบาลลุง” ล่าสุด อุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง และ อดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดตัวทีม  “สถาบันอนาคตไทยศึกษา ThailandFuture Foundation” เป็นที่เรียบร้อย

วางคอนเซปต์ “สถาบันไทยอนาคตศึกษา” ว่า เกิดขึ้นจากการรวมตัวของกลุ่มคนจากหลายภาคส่วน หลากหลายประสบการณ์และอาชีพ จากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ รวมทั้งหลายช่วงอายุ โดยอาสาทำงานแบบ “เวทีเปิด” ที่ส่งเสริมสนับสนุน การรวมพลังความคิดของคนไทย เพื่อร่วมกันคิด วิเคราะห์และตกผลึกในการแก้ไขปัญหา อุปสรรคที่สั่งสมมานาน รวมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศอย่างคลอบคลุมและยั่งยืน

พลันที่มีชื่อ “อุตตม” ขยับ ก็ไม่พ้นถูกมองว่าเป็นโปรเจ็กต์รียูเนี่ยนของ “กลุ่มสี่มาร” ที่ประกอบด้วย อุตตม, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พลังงาน, สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อกรุยทางรีเทิร์นกลับเข้าถนนสายการเมืองอีกครั้ง

หลังจากที่ทั้งหมดถูกตัดออกจากกองมรดก คสช.อย่างอำมหิต

ยังน่าสนใจไปถึงรายชื่อ “ทีมไทยแลนด์ฟิวเจอร์” ที่ล้วนแต่ “ไม่ธรรมดา” อาทิ ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data-driven public policy ด้วยเทคนิคทางเศรษฐมิติและมีประสบการณ์ให้คำปรึกษาองค์กรระดับชาติ, ณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี, ธราธร รัตนนฤมิตร ผู้เชี่ยวชาญเรื่องยุทธศาสตร์เชิงกลยุทธ์, ประกาย ธีระวัฒนากุล ผู้มีส่วนร่วมในการทำยุทธศาสตร์ ไทยแลนด์ 4.0

 โดยวางตัวทั้ง 4 คนข้างต้น เป็นคณะผู้บริหารสถาบันฯ และมี “อุตตม” นั่งเป็นประธานที่ปรึกษา สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นรองประธาน พร้อมรวบรวมเอาที่ปรึกษาจากหลากหลายวงการมาร่วมเช่นกัน อาทิ จรีพร จารุกรสกุล, วิเชฐ ตันติวานิช, สมประวิณ มันประเสริฐ, สุภรัฐ จิราธิวัฒน์, โตมร ศุขปรีชา, ธานี ชัยวัฒน์, วีระชาติ กิเลนทอง, โอฬาร วีระนนท์, เอด้า จิรไพศาลกุล, วิโรจน์ จิรพัฒนกุล และ อุกฤษ อุณหเลขกะ  

 และที่ลืมไม่ได้คงเป็น “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ ที่ส่ง “ณภัทร” ลูกชาย และ “ณัฐพร”หลานชาย มาร่วมวงด้วย 

การเกิดขึ้นของสถาบันอนาคตไทยศึกษา อ่านไม่ยากว่าเป็นการวางโมเดลในการสร้างพื้นที่ระดมความคิด ในลักษณะ “คลังสมอง” หรือ Think Tank แล้วค่อยต่อยอดไปสู่พรรคการเมืองในอนาคต

เป็นการวางตำแหน่งตัวเองให้ ไม่ออกแนวการเมืองจ๋า เพราะ “สี่กุมาร” สัมผัสการเมืองในระบบเลือกตั้งมาแล้ว รู้ตัวดีว่าไม่อินกับการทำการเมืองแบบเก่าๆ

คล้ายกับเมื่อครั้งไปดึง ชวน ชูจันทร์ ประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรตลาดน้ำคลองลัดมะยม เขตตลิ่งชัน กทม. มาจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐให้ “ขุนทหาร”

ที่สุดจากไม้ไผ่เหลาไปมาเหลือแค่ “บ้อง” หลังเจอพิษสงนักการเมือง-นักเลือกตั้ง

ถึงจะยังไม่มีพรรคเป็นหลักแหล่ง แต่พะยี่ห้อ “สมคิด-สี่กุมาร” ที่มีจุดแข็งในแง่การทำงานขนโยบาย-วิสัยทัศน์ ก็คงดูเบาไม่ได้เช่นกัน แต่ “สี่กุมาร” ก็มีการบ้านที่ต้องปิด “จุดอ่อน” ในมิติทางการเมืองของตัวเองให้สนิท

ด้วยรู้กันว่า “จุดอ่อน” ของ “สี่กุมาร” คือ ขาดประสบการณ์การเมืองเชิงยุทธศาสตร์ ตลอดจนการทำพื้นที่ ที่เป็นเรื่องของ “ท้องถิ่นนิยม” อยากที่คนจาก “ส่วนกลาง” หรือประเภท “ท้าวต่างถิ่น” จะเจาะลงไปถึง

ตลอดจน “จุดสลบ” สูตรเลือกตั้งที่กำลังมีกาสรื้อรัฐธรรมนูญในตอนนี้ “กติกาเดิม” เลือกบัตรใบเดียวเข้าทาง “พรรคเจ๊-พรรคเฮีย” มากกว่าบัตร 2 ใบแบบปี 2540 ที่เอื้อ “พรรคใหญ่”

แว่วว่า “ทีมเจ๊หน่อย-ทีมเฮียกวง” รวมไปถึง  “เสี่ยดอน” กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ที่ล่วงหน้าตั้งพรรคไปก่อนใครเพื่อน มีการจิ๊จ๊ะต่อสายหากันตลอดตามประสา “พรรคน้องใหม่” ที่มี “ดีเอ็นเอ” ใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ดียัง “ไม่ลงตัว” เพราะต่างก็มองว่า ตัวเอง “ใหญ่กว่า” หากสนใจร่วมงานกันก็มาร่วมกันในพรรคของตัวเอง

อนาคตทั้ง 3 พรรค-กลุ่มนี้จะ “ฟีเจอริ่ง” กันท่าไหน ต้องติดตาม.