เป้าหมายของหงส์แดง


เป้าหมายของหงส์แดง

ณ จุดนี้ น่าจะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำแล้วนะครับว่า ลิเวอร์พูล หมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกของตัวเองอย่างเป็นทางการแล้ว หลังตามตูดจ่าฝูงอย่าง แมนฯ ซิตี้ ถึง 19 แต้ม

    แม้นว่าจะยังเหลืออีก 13 นัด โดยมี 39 คะแนนให้ตามเก็บ แต่ในทางปฏิบัติ มันเกินกำลังยิ่งกว่าการเข็นภูเขาขึ้นครกเสียอีก  

    นอกจากจะหมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์ พวกเขายังตามหลังทีมอันดับ 2 และอันดับ 3 ของตารางอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด และ

เลสเตอร์ ซิตี้ อยู่ถึง 9 แต้ม ซึ่งถือว่ามากพอสมควรเลยทีเดียว

    อย่างไรก็ตาม

    พลพรรคหงส์แดงตามหลังทีมอันดับ 4 ของตาราง หรืออันดับสุดท้ายของท็อปโฟร์ที่มีตั๋วไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อยู่แค่ 5 แต้ม

    5 แต้มนี่ยังถือว่าไม่เยอะสักเท่าไหร่นะครับ 

    ข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือทีมอันดับ 4 ของตารางในตอนนี้ คือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

    นับตั้งแต่พลาดท่าพ่ายแพ้ ลิเวอร์พูล แบบคาบ้าน “เดอะ แฮมเมอร์ส” ก็เดินหน้ากะซวกชัยได้ถึง 3 นัด และเสมอ 1 นัด ด้วยฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงมิใช่เบา

    ทว่าด้วยขนาดของทีม ด้วยศักยภาพของผู้เล่น และด้วยประสบการณ์ของนักเตะ พอจะอนุมานได้ว่า เวสต์แฮม ไม่น่าจะยืนระยะแล้วเกาะกลุ่มท็อปโฟร์ไปจนถึงบั้นปลาย

เป้าหมายของหงส์แดง

    ง่ายๆ คือผมไม่เชื่อว่า เวสต์แฮม ดีพอที่จะได้ไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า (ไม่เชื่อพนันกันได้)

    ฉะนั้น & ฉะนี้

    ลิเวอร์พูล ยังตั้งความหวังว่าตัวเองจะติด 4 อันดับแรกได้แบบเต็มๆ และแน่นอนว่านี่คือเป้าหมายหลักที่เหลืออยู่ของพวกเขา เพียงแต่อาจจะเหนื่อยหน่อย เนื่องเพราะต้องห้ำหั่นกับคู่แข่งที่มาเป็นหมู่คณะอย่าง เวสต์แฮม, เชลซี, เอฟเวอร์ตัน, แอสตัน วิลล่า และบางทีอาจรวมถึง 

    สเปอร์ส กับ อาร์เซน่อล ที่น่าจะแอบหวังอยู่ลึกๆ เช่นกัน

    สิ่งที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องทำเป็นอันดับแรก คือหา “จุดเปลี่ยน” ให้เร็วที่สุด

เป้าหมายของหงส์แดง

    ด้วยโทษฐานที่เป็นแชมป์เก่า – ลิเวอร์พูล ต้องเจอกับการเล่นที่ระมัดระวังอย่างจงหนักจากคู่แข่ง แถมเตรียมตัว และทุ่มเทเป็นพิเศษ 

    เมื่อบวกกับความไม่สมประกอบของตัวเองที่เหมือนถูกคนบนฟ้าหรือในนรกก็ไม่ทราบกลั่นแกล้ง ผลการแข่งขันของพวกเขาในระยะหลังเลยไม่ค่อยจะโสภาสักเท่าไหร่

    ที่สำคัญคือคู่แข่งของพวกเขาค้นพบวิธีกำราบหงส์แดงเจอแล้วใช้ปฏิบัติตามๆ กันเป็น “พิมพ์เขียว” เหมือนกันแทบทุกทีม นั่นคือการตั้งรับแบบ “พาร์ค เดอะ บัส” สลับกับเพรสซิ่งใส่ในแดนบน เพื่อไม่ให้แผงหลังเซ็ตบอลในแดนตัวเอง และในแดนกลางได้ถนัด 

    ว่าแล้วผู้ชมทางบ้านอย่างผมก็พบว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่น่าสนใจมิใช่น้อย

เป้าหมายของหงส์แดง

    กล่าวคืออายุของผู้เล่นหงส์แดงชุดนี้มันมากขึ้นเรื่อยๆ แถมการเล่นฟุตบอลแบบ “เฮฟวี่ เมตัล” ของพวกเขาก็ไม่ต่างจากเครื่องยนต์ที่เร่งเต็มกำลังมาตลอด 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมาจนเกิดอาการ “โอเวอร์ ฮีต”

    ผู้เล่นในแผนกมิดฟิลด์ของ ลิเวอร์พูล อย่าง จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม อายุ 30 แล้วนะครับ

    เจมส์ มิลเนอร์ ปาเข้าไป 35 กะรัต

    ติอาโก้ อัลคันตาร่า กับ เซอร์ดาน ชากีรี่ ก็ใกล้จะสามหมิบอยู่รอมร่อ

    จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ 30 แล้วเช่นกัน

    ขณะที่ 3 ประสานในหน่วยล่าสังหาร

เป้าหมายของหงส์แดง

    ซาดิโอ มาเน่ อายุ 28

    โม ซาล่าห์ อายุ 28

    โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ อายุ 29

    ความจริงอายุของพวกพี่ๆ เขามันก็ยังไม่มากสักเท่าไหร่หรอก แต่อย่าลืมว่ากองหน้าทั้ง 3 ถือเป็นส่วนสำคัญของวิธีการเล่นแบบ “เพรสซิ่ง” ที่สิ้นเปลืองพลังงานอย่างหน่วงหนักมาติดต่อกันเป็นปีที่ 4 แล้ว 

    ถ้าเป็นเครื่องยนต์ก็น่าจะสึกหลอพอสมควร

    เท่านั้นไม่พอ

    ดูเหมือนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะยึดติดอยู่กับรูปแบบการเล่นของตัวเองมากเกินไปจนไม่กล้าพลิกแพลงพลางตะบี้ตะบันใช้วิธีการเล่นเดิมๆ จนคู่แข่งเดาทางได้ไม่ยากแล้วว่าพวกเขาจะมาไม้ไหนในแต่ละนัด

    คือเมื่อเจอกำแพงขวางอยู่ตรงหน้า ลิเวอร์พูล ก็จะหลับหูหลับตาพุ่งเข้าชนและวิ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วแรงเพื่อทะลุกำแพงให้ได้อย่างเดียว แทนที่จะลองหาวิธีการอื่นดูบ้าง เช่นหาทางวิ่งอ้อม หรือลองปีนข้ามมันไป

เป้าหมายของหงส์แดง

    คู่แข่งจึงเดาได้ไม่ยากครับว่าระบบการเล่นของ ลิเวอร์พูล คือ 4-3-3 อย่างแน่นอน กองหน้า 3 ตัวของพวกเขาจะประกอบด้วยใครบ้าง และรูปแบบการเล่น

    จุดนี้ขอให้ดูตัวอย่างจาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่รู้ดีว่าต้องเจอกับวิธีการเล่นแบบไหนจากคู่แข่ง พี่แกจึงค้นคิดวิธีการเล่นที่พลิกแพลงและหลากหลายไปเรื่อยๆ โดยไม่ยึดติดว่าจะต้องเล่นเป็นแบบไหน แถมไม่มี 11 ตัวจริงแบบตายตัวให้คู่แข่งเดาได้อีกต่างหาก 

    บางที เจอร์เก้น คล็อปป์ อาจต้องลองหาวิธีการใหม่ๆ ดูบ้าง ในเมื่อวิธีการเดิมๆ มันใช้ไม่ค่อยได้ผลแล้ว

    ด้วยคุณภาพและมาตรฐานระดับทีวีแชมเปี้ยนส์ โอกาสที่ ลิเวอร์พูล จะถีบตูดตัวเองกลับขึ้นไปอยู่ในตำแหน่ง “ท็อปโฟร์” ยังคงเปิดกว้างนะครับ

    อย่างน้อย ลิเวอร์พูล ยังเป็น “แชมป์เก่า” ที่มีทรง แม้จะสะสมได้แค่ 40 แต้ม หลังผ่านไป 25 นัด เท่ากับแชมป์เก่าที่ห่วยแตกที่สุดครั้งหนึ่งอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2013-14

    ต่อเมื่อเทียบกับลูกทีมของ เดวิด มอยส์ ในตอนนั้น พบว่าความแตกต่าง คือรูปทรง 

เป้าหมายของหงส์แดง

    ฤดูกาลนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นกันสะเปะสะปะไม่เป็นระบบ ผิดกับ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ที่ยังมีทรงและคุมเกมเหนือกว่าคู่แข่งเกือบทุกนัด เพียงแต่ตอนจบมันไม่ค่อยจะแฮปปี้ เอนดิ้ง เท่านั้นเอง

    กลับมาที่เป้าหมายของ “หงส์แดง” อีกครั้ง

    5 นัดต่อไปในพรีเมียร์ลีกคือการเจอ เชฟฯ ยูไนเต็ด (เยือน), เชลซี (เหย้า), ฟูแล่ม (เหย้า), วูล์ฟส์ (เยือน) และอาร์เซน่อล (เยือน)

สังกตได้ว่ามีทั้งเกมที่เจอกับทีมท้ายตาราง และคู่แข่งแย่งพื้นที่ท็อปโฟร์โดยตรง

    บางทีชัยชนะเหนือทีมบ๊วยของตารางอย่าง เชฟฯ ยูไนเต็ด อาจเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ให้ ลิเวอร์พูล กระชากตัวเองกลับมาจากป่าช้าพลางเรียกความมั่นใจคืนมาอีกครั้ง…ก็..เป็น…ได้

    ส่วนอีกหนึ่งเป้าหมายของ ลิเวอร์พูล อย่างตำแหน่งแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

เป้าหมายของหงส์แดง

    ในมุมมองของคอลัมนิสต์ลูกหนังที่มีอาการทางจิตเล็กน้อยอย่างผม ขอบอกว่า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือสงครามแข้งที่มีอัตราความยากลำบาก มิหนำยังอันอุดมความพลิกผันมากที่สุดในเมืองมนุษย์ 

    ทีมที่ดีที่สุด หรือทีมที่เพียบพร้อมที่สุดไม่จำเป็นต้องได้แชมป์เสมอไป มิเช่นนั้น เต็งหนึ่งตลอดกาลของถ้วยนี้อย่าง แมนฯ ซิตี้ คงได้แชมป์ไปนานแล้วล่ะ 

    มองเผินๆ ขนาดในพรีเมียร์ลีกยังเอาตัวแทบไม่รอด แล้วในรายการที่ฮาร์ดคอร์ยิ่งกว่าอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อันอุดมด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด และโคถึกที่นึกพิโรธ มันจะไปเหลืออะไร

    คิดแบบนี้ กรุณาคิดใหม่นะครับ

    เพราะกาลครั้งหนึ่ง ลิเวอร์พูล จากการทำงานของ ราฟาเอล เบนิเตซ เคยคว้าแชมป์รายการนี้มาครอง ทั้งที่ศักยภาพของตัวเองเป็นรองคู่แข่งอีกหลายทีม ด้วยการ “ทุบหม้อข้าว”

    เหตุเกิดในฤดูกาล 2004-05 เมื่อพวกเขายอมละทิ้งการแย่งชิงพื้นที่ท็อปโฟร์ในพรีเมียร์ลีก เพื่อมุ่งเน้นไปที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยเฉพาะ 

เป้าหมายของหงส์แดง

    เสมอหนึ่งการทุบหม้อข้าวเข้าตีเมืองจันท์ เพื่อบังคับตัวเองว่า…มึงต้องคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้เพียงสถานเดียวเท่านั้น หากประสบความล้มเหลวก็คงจะอดตาย เพราะจะไม่มีแหล่งขุมทรัพย์ให้ตักตวงในฤดูกาลหน้า

    บางตัวผู้เล่นที่ไม่สมประกอบ และสภาพทีมที่ไม่จัดอยู่ในประเภทตัวเต็งจ๋าอาจช่วยให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ คิดค้นวิธีการอันแยบยล และวางแผนการเล่นที่แตกต่างจากในพรีเมียร์ลีก ด้วยการเล่นแบบเน้นผลการแข่งขัน แบบเจียมเนื้อเจียมตัว แบบตีหัวเข้าบ้าน และแบบว่ากันนัดต่อนัด โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเกมรุกพุ่งชนกำแพงในจังหวะโลหะมรณะภาพเสมอไป

    เส้นทางยังเหลืออีกยาวไกลในฤดูกาลที่บ้าๆ บอๆ 

    ลิเวอร์พูล ยังมีโอกาสติดท็อปโฟร์นะครับ ส่วน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นั้นไม่มีอะไรแน่นอนอยู่แล้ว

อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามข่าวสาร

Add friend ที่ @Siamsport