จู่ ๆ ลิเวอร์พูล ก็มาแพ้ในลีกเป็นนัดที่สองติดต่อกัน แถมเป็นการแพ้ทีมบ๊วยและรองบ๊วยอีกต่างหาก เกิดอะไรขึ้นกับหงส์แดงในปีนี้ เรามาชำแหละปัญหาของพวกเขากันครับ
1) นักเตะเจ็บเยอะ ปัญหาเดิม ๆ ที่สั่งสม
ฤดูกาลนี้ ปัญหาใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ยังคงเหมือน ๆ เดิมนั่นก็คือทีมมีนักเตะตัวหลัก ๆ เจ็บเยอะเกินไป จนทำให้ต้องหมุนเวียนนักเตะบ่อยจนดูเหมือนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะหา 11 ตัวจริงในการเป็นหลักของทีมไม่เจอเสียที
พอนักเตะทยอยเจ็บกันทีละคนสองคน ทำให้สมดุลของทีมเริ่มสั่นคลอน จากที่ควรจะได้ 11 ตัวจริงเป็นหลัก กลายเป็นว่าต้องมาตามแก้ปัญหาเรื่อย ๆ ทุกนัด ทุกสัปดาห์ คนนี้หาย คนนั้นเจ็บ สุดท้ายทีมขาดความต่อเนื่อง แม้ว่าจะพยายามปรับแต่งระบบการเล่นมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับการยืนระยะไล่เก็บแต้มเพื่อลุ้นแชมป์อยู่ดี จนทำให้ในตอนนี้แทบจะพูดได้เต็มปากเลยว่า โอกาสคว้าแชมป์ของ ลิเวอร์พูล นั้น ไปหวังเอาในบอลถ้วยยังจะมีลุ้นมากกว่าในลีกเสียอีก
2) ระบบ 4-4-2 มีจุดอ่อนตรงช่องว่างที่ริมเส้น
แม้ว่า คล็อปป์ จะค้นพบระบบการเล่นที่ดูดีที่สุดอย่าง 4-4-2 ไดมอนด์ ด้วยการวาง ฟีร์มิโน่ ยืนเป็นกองกลางหัวเพชรคอยปั้นเกมรุกให้คู่กองหน้าอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ กับ โม ซาล่าห์ แล้วก็จริง แต่ต้องยอมรับว่าแผนนี้ไม่ได้อยู่ในหัวของ คล็อปป์ เลยตั้งแต่ตอนปรี ซีซั่น เป็นแผนสำรองท้าย ๆ ที่เขาเลือกหยิบมาใช้เฉพาะกิจ ก่อนจะพบว่าลงตัวที่สุดแล้วตั้งแต่ต้นฤดูกาลเป็นต้นมา
แต่ระบบนี้ กองกลางของทีมจำเป็นมาก ๆ ที่จะต้องทำงานหนักกว่าปกติ เพราะต้องสอดรับ คอยคััฟเวอร์แบ็คทั้งสองข้างที่เติมเกมสูงตลอดเวลา เมื่อรวมกับปัญหานักเตะเจ็บในทีมที่เยอะอยู่แล้ว เราจึงได้เห็นจุดอ่อนตรงเกมรับแบบชัดเจนมาก ๆ
เชลซี ในยุค คาร์โล อันเชล็อตติ เคยใช้ระบบนี้มาก่อน แต่อย่าลืมว่าในทีมชุดนั้นมีกองกลางที่โคตรเก่งเต็มไผหมด ทั้ง แฟรงค์ แลมพาร์ด, เดโก้, มิชาเอล บัลลัค และมี มิคาเอล เอสเซียง ช่วงพีคคอยเป็นตัวตัดเกมหน้าแบ็คโฟร์ วิ่งไม่มีหมดตามไปคัฟเวอร์ช่องว่างที่แบ็คเติมเกมบุกได้ดี และที่สำคัญ เอสเซียง ตอนนั้นแทบจะไม่บาดเจ็บเลย
แต่ในทีมของ คล็อปป์ ต้องยอมรับว่าลำพังกองกลางที่มีตอนนี้ก็ไม่ฟูลทีมแล้ว พอหันมาใช้ระบบนี้ก็ทำให้นักเตะต้องใช้พลังงานมากกว่าเดิมเยอะมาก หลายครั้งเราเห็น ฟาบินโญ่ ไล่ตามไปเก็บงานไม่ทัน เวลามีช่องว่างที่แบ็คเติมเกมสูง ดังนั้นหากจะใช้ระบบนี้ต่อไป บางทีอาจต้องใช้กลางรับแบบรับจ๋า ๆ เพิ่มอีกคน เพื่อช่วยงาน ฟาบินโญ่ ในการไล่บอล ไม่อย่างนั้น หงส์แดงจะโดนเจาะตรงริมเส้นหนักกว่านี้อีกแน่นอน
3) ตัวสำรองเปลี่ยนเกมไม่ได้
การอำลาทีมของ ทาคุมิ มินามิโนะ และ ดิว็อค โอริกี้ เริ่มส่งผลกระทบให้เห็นชัดเจนขึ้นทุกที เพราะอย่าลืมว่าในฤดูกาลที่แล้วนั้น สองคนนี้คือสำรองทีเด็ดที่ลงมาแล้วเปลี่ยนเกมได้เยอะมากจริง ๆ
ไม่ใช่แค่ตัวรุกสองคนนี้ แต่สำรองในแดนกลางที่ คล็อปป์ มีให้ใช้งานก็เกรดยังไม่ดีพอสำหรับเปลี่ยนเกมเช่นกัน นักเตะอย่าง เคอร์ติส โจนส์ และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ไม่สามารถทดแทน ติอาโก้ หรือ ฟาบินโญ่ ได้เลย เราจึงเห็นในหลาย ๆ นัด คล็อปป์ มีิออปชั่นแดนกลางในมือที่ไว้ใจได้แค่ ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และ ติอาโก้ วนไปวนมาแค่นี้เอง
4) เครื่องร้อนช้า
ปีนี้ นักเตะของ ลิเวอร์พูล ดูจะมีปัญหากับการเล่นในครึ่งแรกพอสมควร สังเกตุจากหลาย ๆ นัดจะพบว่าเมื่อเริ่มเกมมา จะมีความอืด ๆ ในทุกแดน ไม่ได้เริ่มเกมด้วยความกระหายแบบปีก่อน ๆ เพรสก็ไม่เข้มข้นเท่า ยิ่งหากโดนนำไปก่อน ยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาถึงจะตื่นตัว เร่งเกมขึ้นมาสู้เมื่อนั้น
ปัญหานี้ไม่รู้ว่าเกิดจากสภาพจิตใจ หรือเกิดจากความอ่อนล้าที่เตะถี่ด้วยขุมกำลังเดิม ๆ หรือเปล่า คล็อปป์ ไม่ได้มีตัวเลือกในการโรเตชั่นมากนัก พอนักเตะได้พักน้อย ก็อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เกมของ ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ตช้าก็เป็นไปได้เช่นกัน
5) ความมั่นใจ
ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ในลีกดูจะเป็นคนละทีมกับใน แชมเปี้ยนส์ ลีก เลย อาจเป็นเพราะว่าในลีกปีนี้ทำแต้มตกหล่นไปเยอะ จึงทำให้ทุกนัดที่ลงสนามมีความหวาดระแวงซ่อนอยู่ ส่งผลถึงความมั่นใจในการเป็นผู้ชนะในคราวเดียวกัน
ลิเวอร์พูล ปีนี้ดูขาดความกระหายไปเยอะ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในขุมกำลังที่ คล็อปป์ พยายามสร้างทีมใหม่ แต่ต้องยอมรับว่านักเตะหลายคนออกอาการล้า ความมั่นใจน้อยลง ลงเล่นด้วยความไม่มั่นใจว่าเกมนี้จะออกจากสนามด้วยชัยชนะหรือเปล่า เป็นปัญหาที่เริ่มก่อตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ
และอาจเป็นปัญหาใหญ่ ที่ คล็อปป์ ต้องเร่งแก้ไข ก่อนที่อะไร ๆ จะสายไปกว่านี้ในอนาคตที่จะถึง