ในวันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม 2565 เกมแรกของพรีเมียร์ลีก จะแข่งขันเวลา 18.30 น. “เจ้าสัวน้อย” ฟูแล่ม ทีมน้องใหม่ที่เลื่อนชั้นมาด้วยการคว้าแชมป์ลีกรอง หรือ “เดอะ แชมเปี้ยนชิพ” จะเปิดถิ่นคราเว่น ค็อตเทจ ต้อนรับการมาเยือนของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล รองแชมป์พรีเมียร์ลีก และดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยอังกฤษ
เจ้าถิ่น ฟูแล่ม ชุดนี้คุมทัพโดย มาร์โก ซิลวา อดีตกุนซือของเอฟเวอร์ตัน เป็นทีมที่เปิดตัวชุดแข่งช้าที่สุดในพรีเมียร์ลีก เพราะพึ่งดีลกับสปอนเซอร์ได้ ซัมเมอร์นี้มีการเสริมทัพเข้ามาพอสมควร ล่าสุดได้ แบรนด์ เลโน่ นายทวารดีกรีทีมชาติเยอรมนี มาจาก “ปืนใหญ่”อาร์เซน่อล ส่วนผลงานการลงอุ่นเครื่องลงเล่นไป 4 เกม ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ จะไม่มี โจ ไบรอัน และแฮร์รี่ วิลสัน ที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บ ในรายของ นาธาเนี่ยล ชาโลบาห์ ต้องรอทดสอบความฟิตนอกนั้นไม่มีน่าจะมีปัญหาอะไรใช้ระบบการเล่น 4-2-3-1ผู้รักษาประตูอาจจะต้องใช้ มาเร็ค โรแด๊ค คนเก่าลงเฝ้าเสาไปก่อนแบ๊กขวามีความเป็นไปได้ที่ผู้เล่นใหม่อย่าง เควิน เอ็มบาบู จะได้ออกสตาร์ทตัวจริงทันที เช่นเดียวกันแดนกลางอย่าง ชูเอา ปาลินญ่าเกมรุกฝากความหวังไว้ที่ นีสเค่นส์ เกบาโน่, อันเดรียส เปเรยร่า, บ๊อบบี้ เด คอร์โดว่า-รีด และอเล็คซานดาร์ มิโตรวิช
ฝั่ง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เพิ่งเอาชนะ “เรือใบสีฟ้า”แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1 ในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์ 2022 ประเดิมคว้าแชมป์แรกในฤดูกาลนี้ จนถึงตอนนี้เสริมทัพแค่ 3 ราย คือ ฟาบิโอคาร์วัลโญ่, ดาร์วิน นูเญซ และคัลวีน แรมซีย์ ผลงานการลงอุ่นเครื่อง 4 เกม ชนะ 2 แพ้ 2
กุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะหมดสิทธิ์ใช้งาน ควีวีน เคลเลเฮอร์,ดีโอโก้ โชต้า, อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และเคอร์ติสโจนส์ ที่มีอาการบาดเจ็บ ในรายของ อิบราฮิม่า โกนาเต้ และคอสตาส ซิมิกาส ก็ยังไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อมองไปที่ขุมกำลังแล้วตัวหลักยังอยู่กับครบ ยึดระบบการเล่นเดิม 4-3-3 ฟาบินโญ่ คุมแดนกลางร่วมกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และธีอาโก้ อัลคันทาร่า สามประสานในเกมรุก คล็อปป์ ต้องชั่งใจเลือกระหว่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หรือดาร์วิน นูเญซ ที่จะลงไปประสานงานกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และหลุยส์ ดิอาซ
สถิติการพบกันของทั้งสองทีม 5 เกมหลังสุด ลิเวอร์พูล เหนือกว่าเยอะเอาชนะได้ 3 เสมอ 1 และแพ้ 1 โดยเป็นการพ่ายแพ้คาแอนฟิลด์ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2021
11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม ฟูแล่ม (4-2-3-1) : มาเร็ค โรแด๊ค, เควิน เอ็มบาบู, โทซิน อดาราบิโอโย่, ทิม รีม, แอนโทนี่โรบินสัน, แฮร์ริสัน รีด, ชูเอา ปาลินญ่า, นีสเค่นส์ เกบาโน่, อันเดรียส เปเรยร่า,บ๊อบบี้ เด คอร์โดว่า-รีด และอเล็คซานดาร์ มิโตรวิช
ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลิสซอน เบ็คเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์,โฌเอล มาติ๊ป, เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค,แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, ธีอาโก้ อัลคันทาร่า, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และหลุยส์ ดิอาซ
ขณะที่ “ไก่เดือยทอง” สเปอร์ส ที่ถูกยกให้เป็นเต็ง 3 ดวลกับ “นักบุญ”เซาแธมป์ตัน เวลา 21.00 น. สเปอร์สภายใต้การคุมทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ กลายเป็นหนึ่งทีมที่น่าจับตามองที่สุดด้วยการเสริมทัพที่ยกขนาดทีมให้แข็งแกร่งขึ้น ได้ทั้ง อีวาน เปริซิซ, เฟรเซอร์ ฟอร์สเตอร์, อีฟส์ บิสซูม่า, ริชาร์ลิซอน และเจด สเปนซ์ใช้เงินไปราวๆ 100 ล้านปอนด์ แต่ ริชาร์ลิซอน ติดโทษแบนมาจากต้นสังกัดเก่า ลงไม่ได้ เช่นเดียวกับ โอลิเวอร์ สคิปป์ ที่บาดเจ็บ ส่วน อีวาน เปริซิซ และอิฟส์ บิสซูม่า ต้องรอทดสอบความฟิต มีความเป็นไปได้ที่ไรอัน เซสเซญง จะได้ออกสตาร์ทตัวจริงในตำแหน่งแบ๊กซ้าย ส่วนที่เหลือยังเหมือนเดิม ปีแอร์-เอมิลฮอยเบียร์ค คุมแดนกลางร่วมกับ โรดริโก้ เบนตานคูร์ สามแนวรุกเลือก เดยัน คูลูเชฟสกี้ ลงประสานงานกับ แฮร์รี่ เคน และซน ฮึง มิน
ทีมเยือน “นักบุญแห่งแดนใต้” เซาแธมป์ตัน ถูกยกให้เป็นหนึ่งในทีมที่มีโอกาสจะตกชั้นในฤดูกาลนี้ ทีมมีการเสริมทัพเข้ามาพอสมควรไปสอย 2 ดาวรุ่งจาก แมนฯซิตี้ อย่าง กาวินบาซูนู และโรเมโอ ลาเวีย เข้ามา อีกหนึ่งตัวทีเด็ดคือ โจ อารีโบ้ ที่มาจากเรนเจอร์ส แต่ก็ต้องเสีย อาร์มานโด้ โบรย่า หัวหอกคนสำคัญที่หมดสัญญายืมตัวกลับไป เชลซี นัดนี้ไม่มี วาเลนติโน่ ลิฟราเมนโต้,นาธาน เตลล่า และธีโอ วัลค็อตต์ ที่บาดเจ็บ
นอกนั้นเป็นแกนหลักชุดเดิมจากซีซั่นที่แล้ว กุนซือราล์ฟ ฮาเซนฮุตเทิ่ล ปรับระบบจาก 4-4-2 มาใช้ 4-4-1-1 ถือว่าไม่ได้แตกต่างอะไรกันมาก นำทัพโดย สจ๊วร์ต อาร์มสตรอง,เจมส์ วอร์ด-พราว์ส, โอริโอล โรเมอู, โมฮาเหม็ด เอลยูนุสซี่, โจ อารีโบ้ และเช อดัมส์
ส่วนเกมคู่ดึก เวลา 23.30 น. “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตันเจองานหินเมื่อต้องดวลกับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี โดยเจ้าถิ่นภายใต้การคุมทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด มีเรื่องให้ต้องปวดหัวหนัก เมื่อจะหมดสิทธิ์ใช้งาน โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิ่น หัวหอกคนสำคัญที่ดันไปบาดเจ็บตอนซ้อมต้องพัก 6 สัปดาห์ แถมผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าอย่าง โซโลมอน รอนดอน ก็มาติดโทษแบน ส่วน ริชาร์ลิซอนก็ขายไปให้กับสเปอร์ส นอกจากนี้ยังไม่มี แอนดรอส ทาว์นเซ่นด์, เซมุส โคลแมน, อังเดร โกเมส และทอม เดวีส์ ทำให้ตัวใหม่ที่ได้มาอย่าง เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ กับ ดไวท์ แม็คนีล ที่คว้ามาจากเบิร์นลี่ย์จะถูกส่งลงสนามทันที แดนกลางอาจจะต้องถอย อเล็กซ์ อีโวบี้มาเล่นกับ อับดูลาย ดูคูเร่ หาก อัลลัน ไม่ฟิต เรียกได้ว่ามีปัญหาแทบทุกจุด เพราะเกมรุกก็ต้องดันเอา เดมาไรย์ เกรย์ ไปยืนเป็นฟอล์สไนน์ ประสานงานกับ แอนโธนี่ กอร์ดอน
ฝั่งผู้มาเยือน “สิงห์บลูส์” เชลซี มีการเปลี่ยนแปลงทีมแบบยกเซตทั้งเจ้าของทีมและคณะกรรมการผู้บริหาร ท็อดด์ โบห์ลีย์ เข้ามาเทคโอเวอร์รับไม้ต่อจาก “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช เสียผู้เล่นแนวรับอย่าง อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และอันเดรียส คริสเตนเซ่น ที่ได้มาคือ คาลิดู คูลิบาลี่, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และคาร์นีย์ ชุควูเมก้า ทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ต้องรอทดสอบความฟิตของ ตีโม แวร์เนอร์หัวหอกทีมชาติเยอรมนีที่มีข่าวจะย้ายกลับไปค้าแข้งในบ้านเกิดนอกนั้นยังอยู่เหมือนเดิม ยึดระบบการเล่น 3-4-2-1 คูลิบาลี่ ที่สวมเสื้อหมายเลข 26 เบอร์เก่าของตำนานอย่าง จอห์น เทอร์รี่ น่าจะได้ออกสตาร์ทตัวจริงทันที เช่นเดียวกับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่จะได้ประสานงานกับ เมสัน เม้าท์ ในเกมรุกทั้งคู่คุ้นเคยกันดีกับการเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ โดยมี ไค ฮาแวร์ตซ์ ยืนเป็นหน้าเป้า
สถิติการพบกันของทั้งสองทีม 5 เกมหลังสุด มักจะยิงกันน้อย โดยผลัดกันชนะไปฝั่งล่ะ 2 ครั้ง และเสมอ 1