วันพุธ ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2565, 19.39 น.
เผยประเทศกาตาร์ ใช้งบในการจัดมหกรรมฟุตบอลโลก 2022 มากที่สุดในประวัติศาสตร์ทะลุ 3 แสนล้านดอลลาร์ (300,000,000,000) คิดเป็นเงินไทย 9 ล้านล้านบาท(9,000,000,000,000) เป็นสถิติใหม่ของการจัดการแข่งขัน
โดยพวกเขาได้เนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นใหม่ไม่ว่าจะเป็นสนามกีฬาที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ มีมูลค่าสูงถึง 6.5 พันล้านดอลลาร์ รวมไปถึงระบบสาธารณะรถไฟฟ้าใต้ดินแบบไร้คนขับอีก 36 พันล้านดอลลาร์ 5 สถานีพร้อมให้บริการ 8 สนาม
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มไฟประดับตามริมถนนตั้งแต่ทางหลวงไปจนถึงสนามบินในใจกลางเมืองหลวงอย่างกรุงโดฮา และการติดตั้งเครื่องปรับอาการภายในสนามกีฬาที่มีค่าใช้จ่ายสูงสุด ๆ
ปัจจุบันยังมีคนงานอีกหลายพันคนที่กำลังทำงานกับตลอดทั้งคืนเพื่อก่อสร้างโรงแรมสถานที่อาศัยไว้สำหรับแฟนบอลผู้มาเยือน มีการนำตู้คอนเทนเนอร์มาสร้างเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว
โดยรายได้ของพวกเขามาจากการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ทำให้พวกเขามีงบในการทุ่มทุนอย่างไม่มีลิมิตสำหรับมหกรรมฟุตบอลโลกในครั้งนี้ ซึ่งมีการเปิดเผยว่าตัวเลขว่ากาตาร์ใช้เงินไปแล้ว 3 แสนล้านดอลลาร์สูงสุดในประวัติการณ์
ย้อนกลับไปในฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล ครั้งนั้นใช้งบในการจัดไปทั้งหมด 11.5 พันล้านเหรียญ ส่วนที่ประเทศรัสเซียเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2018 ใช้เงินไป 14 พันล้านเหรียญ
ประเทศกาตารมีประชากรทั้งหมด 2.8 ล้านคน แต่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ทำให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในประเทศที่รวยที่สุดในโลก ทำให้ข้อเปรียบเทียบต่าง ๆ นั้นดูไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ เพราะพวกเขามีแผนที่จะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตามแผนการพัฒนาชาติที่วางเอาไว้อยู่แล้ว
ทางด้าน สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติได้ยกย่องว่ากาตาร์เตรียมต่างทุกอย่างได้ยอดเยี่ยม
“เราพร้อมที่ร่วมกันจะส่งมอบฟุตบอลโลกที่ดีที่สุดออกไปสู่สายตาชาวโลก” จานนิ อินฟานติโน่ ประธานฟีฟ่า กล่าว
อย่างไรก็ตามกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้เรียกร้องให้ กาตาร์ และฟีฟ่า จ่ายเงินเยียวยาให้กับคนงานที่เสียชีวิตจากการก่อสร้างสนาม ตามรายงานว่ามีแรงงานข้ามชาติต้องสังเวยชีวิตให้กับมหกรรมเลือดของกาตาร์สูงถึง 6,500 รายเลยทีเดียว
“มีหลายครอบครัวที่ต้องเป็นหนี้เพราะย้ายไปใช้แรงงานที่กาตาร์และเสียชีวิตลง อย่างน้อยเราสามารถเรียกร้องสิ่งเหล่านี้ ก่อนฟุตบอลจะเริ่มต้นขึ้น ทุกอย่างจะหายไปเมื่อบอลโลกจบลง คุณทำใจลงเหรอที่จะมีความสุขกับเกมเหล่านี้และต้องรู้ว่ามีกี่ครอบครัวที่จะสูญเสีย” โรธน่า เบกัม จากกลุ่มรณรงค์สิทธิมนุษยชน กล่าว