ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษไม่ได้ชนะการแข่งขันรายการใหญ่เลยนับตั้งแต่ฟุตบอลโลกเมื่อ 55 ปีก่อน วันนี้อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ ในการพบกันระหว่างอังกฤษและอิตาลีในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2020 ในกรุงลอนดอน
แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเดินทางมาถึงจุดนี้ของทีม และชัยชนะครั้งนี้อาจจะเป็นการชดเชยความผิดพลาดในอดีตของเขาได้
จุดเริ่มต้นที่ถูกคัดค้าน
ตอนที่แกเร็ธ เซาธ์เกต ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการฟุตบอลชายทีมชาติอังกฤษในเดือน พ.ย. 2016 เขาต้องรับมือกับปัญหา 2 เรื่อง
เรื่องแรกคือ เซาธ์เกต เผชิญกับการตรวจสอบจากสื่อมากกว่านายกรัฐมนตรีคนไหน ๆ เคยเผชิญมา ทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ไม่ง่ายตั้งแต่เริ่มต้น
เรื่องที่สองคือ ข้อผิดพลาดที่คอยย้ำเตือนถึงช่วงเวลาที่มืดหม่นของเขาสมัยที่เป็นนักฟุตบอลนั่นก็คือ การเตะจุดโทษพลาดในนัดที่อังกฤษเจอกับเยอรมนีที่สนามเวมบลีย์ที่เนืองแน่นได้ด้วยแฟนบอล ทำให้อังกฤษแพ้ไปและไม่ได้ผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรปี 1996
ความจริงแล้ว เขาปฏิเสธข้อเสนอครั้งแรกให้เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติฟุตบอลอังกฤษในช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้านั้น เพราะกลัวว่าแฟนบอลและสื่อจะไม่ให้การต้อนรับเขา
5 ปีผ่านไป ตอนนี้เซาธ์เกตและอังกฤษต่างก็มีโอกาสในการกำจัดปีศาจร้ายออกไปในการชิงชนะเลิศกับอิตาลี ซึ่งจะมีการจัดขึ้นที่สนามเวมบลีย์ที่เดียวกับที่เกิดเหตุการณ์เตะจุดโทษพลาดเมื่อ 25 ปีก่อน
“เขาดีพอไหม”
อิตาลีเป็นผู้ชนะฟุตบอลโลก 4 สมัย และคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรในปี 1980 และขณะนี้ยังไม่แพ้ผู้ใดเลยมา 33 นัดติดต่อกันแล้ว ถือเป็นหนึ่งในสถิติที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล โดยอิตาลีไม่แพ้ใครเลยมาตั้งแต่เดือน ก.ย. 2018
ส่วนอังกฤษไม่เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรเลย แต่จะว่าไปแล้ว ในการแข่งขันระดับนานาชาติ เซาธ์เกต ในวัย 50 ปี ทำผลงานได้ดีกว่าผู้จัดการทีมคนก่อน ๆ ทุกคน ยกเว้น อัลฟ์ แรมซีย์ ผู้จัดการทีมที่นำทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก
ถือเป็นการทำหน้าที่ได้ดี ทั้งที่ในช่วงที่มีการแต่งตั้งเขาเข้ารับตำแหน่งนี้ สื่อต่างพาดหัวข่าวในทำนองกังขาต่อการตัดสินใจนี้ รวมถึง บีบีซี สปอร์ต ที่พาดหัวว่า “เขาดีพอไหม”
นั่นคืออุปสรรคอีกอย่างหนึ่งที่ ชายผู้เงียบขรึมและขี้อายจากวัตฟอร์ด ทางเหนือของกรุงลอนดอน ต้องก้าวข้าม
ในช่วงเป็นวัยรุ่น เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเข่าปูด (Osgood Schlatter’s disease) ซึ่งจะทำให้กระดูกขาท่อนล่างมีอาการอักเสบใกล้กับข้อต่อหัวเข่า ซึ่งมีความเสี่ยงต่ออนาคตการเป็นนักกีฬาของเขา
ในวัย 16 ปี ขณะที่กำลังเล่นให้กับทีมเยาวชนของคริสตัล พาเลซ อลัน สมิธ ผู้ฝึกสอนแนะนำ หนุ่มน้อยแกเร็ธในขณะนั้นว่า เขาจำเป็นต้อง “อึดขึ้น” เพื่อที่จะได้เป็นนักฟุตบอลมืออาชีพ หรือไม่งั้นเขาก็ควรจะพิจารณาทำงานที่บริษัทนำเที่ยวแทน
แต่นับจากนั้น แกเร็ธ ก็ได้ลงเตะในฐานะนักฟุตบอลอาชีพให้กับทีมพาเลซ, แอสตัน วิลลา และ มิดเดิลสโบรห์ รวม 503 นัด และได้ลงเตะให้กับทีมชาติอังกฤษอีก 57 นัด
ความปราชัยและการฟื้นตัว
นัดที่ลงแตะกับเยอรมนีในปี 1996 ดูเหมือนจะสร้างความเจ็บแค้นให้กับเซาธ์เกต และเขาก็ยอมรับว่า เขายังรู้สึกเสียใจที่พลาดลูกโทษครั้งนั้น
“คุณน่าจะอยู่ในนัดที่ใหญ่ที่สุดที่ทางทีมชาติเคยลงเตะมานาน 30 ปี ในตอนนั้น แล้วคุณก็ต้องเดินออกจากสนามไปด้วยความรู้สึกว่า คุณคือคนที่ทำให้เกมจบลงแบบนั้น” เขากล่าวเมื่อปีที่แล้ว
“มันยังอยู่กับผมในระดับเล็ก ๆ การล้มเหลวภายใต้แรงกดดัน ภายใต้แสงไฟที่ส่องมา เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้อย่างมืออาชีพ”
แต่เซาธ์เกตก็เผชิญหน้ากับมัน มัน โดยเขาได้ร่วมแสดงในโฆษณาทางโทรทัศน์ให้กับร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในปีนั้น ซึ่งในโฆษณาได้มีการล้อเลียนโดยให้เขาเอาถุงกระดาษคลุมศีรษะ เพื่อไม่ให้คนจำได้ขณะรับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
การที่เขายังคงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษต่อไปอีก 8 ปี ก็เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดแจ้งถึงการฟื้นตัวกลับคืนมาของเขาเช่นกัน
ในฐานะผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เขาไม่ได้ใช้เวลานานเกินไปในการทำให้ผู้ที่กังขาในตัวเขารู้ตัวว่า พวกเขาคิดผิด ในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2018 ในรัสเซีย อังกฤษเข้าถึงรอบตัดเชือกได้เป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์
สนับสนุน “การคุกเข่า”
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นักวิจารณ์หยุดพูดถึงเขา สื่อและอดีตเพื่อนนักเตะมองเขาว่า “ระมัดระวัง” มากเกินไป แฮชแท็ก #southgateout ได้ติดเทรนด์ในทวิตเตอร์ในวันที่อังกฤษลงเตะนัดแรกในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020
เซาธ์เกตยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง จากการที่เขาสนับสนุนการตัดสินใจของนักเตะในทีมที่ “คุกเข่าลงข้างหนึ่ง” ก่อนที่จะเริ่มการแข่งขันเมื่อปีที่แล้ว เพื่อแสดงการประท้วงต่อการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ
นี่คือท่าทีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของทีมชาติอังกฤษ และมักจะมีแฟนบอลทีมชาติอังกฤษบางส่วนส่งเสียงโห่อยู่บ่อย ๆ
ทีมชาติอังกฤษภายใต้การนำของเซาธ์เกต มีผู้เล่นที่หลากหลายและอายุน้อยที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์อังกฤษ โดยครึ่งหนึ่งของนักเตะมีพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายที่เกิดนอกสหราชอาณาจักร
ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ไม่ได้เพิกเฉยต่อคำเยาะเย้ยถากถาง และได้แสดงการปกป้องสิทธิ์ของผู้เล่นในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาที่ไม่เกี่ยวกับวงการกีฬา
“ผมไม่เคยเชื่อว่า เราควรจะยึดติดอยู่แค่กับฟุตบอล” เซาธ์เกต กล่าวในจดหมายเปิดผนึกที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ เดอะ เพลเยอร์ส ทริบูน (The Player’s Tribune)
“ผมมีความรับผิดชอบต่อสังคมในวงกว้างในการใช้เสียงของผม และเสียงของนักเตะ”
“มันคือหน้าที่ของพวกเขาในการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสาธารณะชนในเรื่องต่าง ๆ อย่างความเท่าเทียม, การเปิดกว้าง และความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ”
กระนั้น ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษก็รู้ว่า สิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือ ผลงานของทีมในสนาม อังกฤษ
เขาจะได้เป็น เซอร์ แกเร็ธ หรือไม่
“ผมภูมิใจในตัวนักเตะ” ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษกล่าว หลังคว้าชัยเมื่อวันพุธ (7 ก.ค.) ที่ผ่านมาเหนือทีมชาติเดนมาร์ก ในการแข่งขันรอบตัดเชือกของฟุตบอลยูโร 2020
“แต่ยังมีอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่จะต้องพยายามเอาชนะให้ได้อยู่อีกอย่างหนึ่ง”
ถ้าอังกฤษสามารถเอาชนะอิตาลีได้ในวันนี้ (11 ก.ค.) ที่สนามเวมบลีย์ เซาธ์เกตจะทำให้ช่วงเวลาที่อังกฤษร้างลาจากการคว้าแชมป์ฟุตบอลรายการใหญ่ ๆ มานานจบสิ้นลง และอาจจะทำให้เขาต้องไปคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองแห่งอังกฤษ
นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของสหราชอาณาจักร บอกเป็นนัยแล้วว่า ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษอาจจะได้รับพระราชทานยศอัศวิน ตำแหน่งอันทรงเกียรติสูงสุดที่มอบให้กับคนในสหราชอาณาจักร
คงเป็นเรื่องยากที่จะนึกถึงเซาธ์เกตที่ขวยเขินกับการถูกเรียกขานว่า เซอร์ แกเร็ธ เป็นที่ทราบกันดีถึงเรื่องที่เขาไม่ยอมเข้าไปนั่งในบริเวณห้องรับแขกวีไอพีของสนามบินในการเดินทางหลายครั้งกับสมาคมฟุตบอล ถ้าเพื่อนร่วมงานที่เดินทางไปพร้อมกับเขาด้วยไม่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นเดียวกับเขา
แต่เซาธ์เกตจะไปนั่งในร้านกาแฟหรือบาร์เพื่อรอขึ้นเครื่องบินแทน นั่นอาจจะเป็นปัญหามากกว่า ถ้าอังกฤษคว้าแชมป์ยูโร 2020…