วันเสาร์ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565, 06.16 น.
เผลอแป๊บเดียวปี 2022 ก็กำลังจะเดินทางผ่านพ้นไปซึ่งต้องบอกว่านี่เป็นหนึ่งในขวบปีที่เต็มไปด้วย เหตุการณ์ต่างๆ มากมายในวงการลูกหนังโลก ไล่มาตั้งแต่ต้นปียาวจนถึงปลายปี
และก่อนที่จะเข้าสู่ฟ้าใหม่ในปี 2023 ทีมข่าวกีฬาแนวหน้า ก็ได้ทำการรวบรวมเหตุการณ์สำคัญมากมายที่เกิดขึ้นมาให้ทุกท่านได้อ่านกัน และหวังว่าฟุตบอลจะยังคงสนุกสนานให้เราได้ติดตามเช่นนี้กันต่อไป
ขอให้เป็นปีที่ดีของทุกคนครับ สวัสดีปีใหม่
ฟีฟ่า-ยูฟ่าสั่งแบนรัสเซียพ้นวงการ
เป็นช่วงต้นปีที่ร้อนระอุสุดๆ เมื่อสถานการณ์การทำสงครามที่รัสเซีย ยกทัพพยายามบุกยึด ยูเครน นั้นส่งผลกระทบทุกๆ ด้าน รวมถึงด้านกีฬาด้วย เมื่อ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) และสหพันธ์ฟุตบอลแห่งยุโรป (ยูฟ่า) สั่งแบนทีมชาติรัสเซีย ตั้งแต่ระดับสโมสร จนถึงทีมชาติออกจากกการแข่งขันทุกทัวร์นาเมนท์
ซึ่งผลจากการที่ รัสเซีย ถูกฟีฟ่า และยูฟ่า สั่งแบนในครั้งนี้ จะส่งผลให้ ฟุตบอลทีมชาติรัสเซีย เจ้าของฉายา “หมีขาว” หมดสิทธิ์ลงแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกทันที ส่วนฟุตบอลหญิงทีมชาติรัสเซีย ก็ถูกแบนจากศึกยูโร 2022 ด้วย ขณะที่ในระดับสโมสร สปาร์ตัก มอสโก ก็ถูกขับออกจากการแข่งขันยูโรป้าลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย
ต่อจากนี้ยังไม่มีใครทราบได้ว่าสงครามที่เกิดขึ้นนั้นทาง รัสเซีย จะยอมยุติลงได้เมื่อไหร่ แต่หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เราก็อาจจะไม่ได้เห็นทัพ “หมีขาว” ในวงการกีฬาโลกไปอีกยาวๆ
แมนฯ ซิตี้-ลิเวอร์พูล กับการลุ้นแชมป์จนหยดสุดท้าย
หนึ่งในการลุ้นแชมป์ลีกผู้ดี ที่ระทึกขวัญยิ่งกว่ารถไฟเหาะตีลังกา สำหรับฤดูกาล 2021/22 ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล บี้กันจนถึงหยดสุดท้ายของฤดูกาล ซึ่ง ซิตี้ นั้นมี 90 แต้ม ส่วน”หงส์แดง” มี 89 แต้ม และหากทัพ “เรือใบสีฟ้า” คว้าชัยจะการันตีแชมป์ทันทีแบบไม่ต้องสนผลอีกคู่
แต่ปรากฏว่าในเกมนัดสุดท้าย ซิตี้ ที่ได้เล่นในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม รังเหย้าตัวเองแท้ๆ กลับโดน แอสตัน วิลล่าทำช็อกบุกมายิงนำถึง 2-0 ในช่วงครึ่งแรก ขณะที่แฟนบอล “หงส์แดง” นั้นต่างเฝ้าภาวนากันแล้วเพราะพวกเขาปิดเกมเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน 3-1 ตามเป้าหมายตัวเองไปแล้ว
อย่างไรก็ตามปาฏิหารย์เกิดขึ้นอีกหนเมื่อ ทัพ “เรือใบสีฟ้า” พลิกสถานการณ์กลับมารัว 3 ประตูรวดภายใน 5 นาทีช่วงท้ายเกม จาก อิลคาย กุนโดกัน น.76, โรดรี้ 78 และ กุนโดกัน ยิงประตูชัยนาที 81 คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษไปครองสองสมัยติดต่อกันแบบเหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรอีกครั้ง
ราชันชุดขาวเจ้ายุโรปพร้อมบัลลงดอร์ของ‘เบนเซม่า’
เรอัล มาดริด แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าฉายา “ราชันชุดขาว” ของพวกเขานั้นไม่ได้มาเพราะโชคช่วย เมื่อต้องดวลโจทย์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล คู่ชิงชนะเลิศเมื่อปี 2018 ที่ต้องการล้างตาคว้าแชมป์ให้ได้ ซึ่งรูปเกมตลอดทั้ง 90 นาที เป็นหงส์แดง ที่ทำได้ดีกว่าแบบชัดเจน แต่กลับต้องเจอความเหนียวหนึบของ ติโบต์ กูร์กตัวส์ นายทวารทีมชาติเบลเยียม ที่เซฟแล้วเซฟอีกจนสุดท้ายกลายเป็น มาดริด ที่เกมนี้มีโอกาสลุ้นทำประตูเพียง 3 หนมาได้ประตูชัยจากจังหวะสวนกลับและเป็น วินิซิอุส จูเนียร์ ที่ยิงเข้าไป ช่วยให้ทีมเถลิงบัลลังก์แชมป์สมัยที่ 14 มาครองได้สำเร็จ
จากผลงานดังกล่าวทำให้ “ดอนคาร์เล็ตโต้” คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือชาวอิตาเลียน สร้างสถิติใหม่ด้วยการเป็นผู้จัดการทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้มากที่สุดตลอดกาลที่ 4 สมัยซึ่งยังไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน
ขณะที่ คาริม เบนเซม่า ดาวยิงตัวเก๋ากัปตันทีมวัย 35 ปี ที่ยิงถล่มทลายตลอดฤดูกาล และเป็นกำลังสำคัญในการพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ก็ผงาดคว้าบัลลงดอร์มาครองอย่างภาคภูมิเป็นครั้งแรกเช่นกัน
แฟนบอลช็อก ‘โรนัลโด้’ แตกทัพผี
คำพูดเป็นนายคน และมันยังคงเป็นจริงเสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่มากแค่ไหน และมันก็เกิดขึ้นอีกครั้งกับนักเตะที่ว่ากันว่าเป็นมืออาชีพมากที่สุดในโลกคนหนึ่งในวงการลูกหนังอย่าง คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ที่มีประเด็นดราม่าตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่น เมื่อไม่ยอมเดินทางมากับเพื่อนร่วมทีม รวมทั้งยังชอบเดินออกจากสนามก่อนเกมจะจบ
จนกระทั่ง ก่อนที่ฟุตบอลโลก จะเริ่มขึ้นเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น ดาวยิงวัย 37 ปี ก็ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดเมื่อตัดสินใจออกมาให้สัมภาษณ์ที่เปรียบดั่งการวางระเบิดสโมสร ด้วยการเปิดใจกับ เพียร์ส มอร์แกน พิธีกรชื่อดังในรายการทีวีแบบช็อกแฟนบอลปีศาจแดงไปทั้งโลก
โดยบทสัมภาษณ์หนนี้แบ่งเป็น 2 พาร์ท และเต็มไปด้วยประเด็นดราม่ามากมาย ตั้งแต่การบอกว่าไม่เคยเคารพเอริก เทน ฮาก,ไม่เข้าใจว่าทำไมทีมดึง ราล์ฟ รังนิค ที่เป็นผู้อำนวยการกีฬา มาทำหน้าที่โค้ช, ไม่พอใจที่โดนอดีตเพื่อนร่วมทีมที่เคยรักกันมากอย่าง เวย์น รูนี่ย์ และ แกรี่ เนวิลล์ ออกมาวิจารณ์แบบเสียหายอยู่เสมอ รวมไปถึงบอกสโมสรไม่เคยพัฒนาตั้งแต่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อำลาทีมเมื่อปี 2013
แน่นอนหลังบทสัมภาษณ์ออกมา แมนฯยูไนเต็ดก็ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับเจ้าตัวทันที และเหลือเชื่อไปกว่านั้นคือ โรนัลโด้ ยังไปมีเรื่องกับ เฟอร์นานโด ซานโตส กุนซือทีมชาติโปรตุเกส จนถึงขนาดโดนดร็อปในฟุตบอลโลก ที่คาดว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของตัวเอง และสุดท้ายทัพ “ฝอยทอง” ก็ร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปอย่างเจ็บปวด
ณ เวลานี้ ยังไม่มีใครทราบได้ว่าเส้นทางลูกหนังบทต่อไปของ โรนัลโด้ จะย้ายไปค้าแข้งกับสโมสรใด แม้เวลานี้เขาจะกลายเป็นแข้งฟรีเอเย่นต์ไปแล้วก็ตาม
ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ตัวจริง
ฟุตบอลโลกหนนี้เรียกว่าเป็นครั้งที่ชาติจากเอเชียทำผลงานได้ยอดเยี่ยมสุดๆ เริ่มจากการที่ “เศรษฐีน้ำมัน” ซาอุดีอาระเบีย ที่สร้างผลงานช็อกโลกด้วยการเป็นทีมเดียวที่เอาชนะ แชมป์โลกอย่าง อาร์เจนตินา ได้สำเร็จ แม้สุดท้ายพวกเขาจะไม่ดีพอที่จะผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาท์ แต่ผลงานนี้ก็จะทำให้พวกเขาถูกจารึกเอาไว้ตลอดกาลแน่นอน นอกจากนี้ยังมี ทีมชาติอิหร่าน ที่เอาชนะทีมในทวีปยุโรป อย่าง ทีมชาติเวลส์ ได้ด้วยสกอร์ 2-0 ก็ถือว่ายอดเยี่ยมเช่นกัน
แต่ที่ต้องบอกว่าสุดยอดจริงๆ เราคงต้องยกให้ “ซามูไรบลูส์” ทีมชาติญี่ปุ่น” และ “โสมขาว” ทีมชาติ เกาหลีใต้ ที่กลายเป็น 2 ชาติจากทวีปเอเชียที่สามารถผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ ทั้งที่อยู่ในกรุ๊ป ออฟ เดธ ซึ่งอุดมไปด้วยทีมยักษ์ใหญ่ของโลกลูกหนังทั้งสิ้น
โดยผลงานของทัพ “ซามูไรบลูส์” ที่เรียกว่าติดตาคนทั้งโลกคือเกมที่พวกเขาเอาชนะ สเปน 2-1 ที่ คาโอรุ มิโตมะไม่ยอมให้ลูกออกหลัง แล้ววัดใจตวัดเข้ากลาง ซึ่งเหลือเศษเสี้ยวของลูกบอล 1.88 มิลลิเมตร ที่ยังอยู่บนเส้นนั่นเอง ส่วนทัพ “โสมขาว เกมสุดท้ายพลิกกลับมาเอาชนะ โปรตุเกส ในช่วงทดเจ็บจากประตูชัยของ หวัง ฮี ชาน 2-1 ผ่านเข้ารอบไปแบบเหลือเชื่อ
แม้ในท้ายที่สุด พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้ให้กับ บราซิล ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่วน ญี่ปุ่น จะพ่ายแพ้อย่างน่าเสียดาย (อีกครั้ง) ให้กับ โครเอเชีย จากการดวลจุดโทษ หากแต่ผลงานที่ทั้ง 2 ทีมได้ฝากเอาไว้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ก็ยังทำให้ ชาวเอเชียภาคภูมิใจใน จิตใจนักสู้ที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมได้อยู่ดี
ฝันเป็นจริงของ เมสซี่
นี่เป็นเพียงถ้วยรายการเดียวที่ ลีโอเนล เมสซี่ ยังไม่เคยสัมผัสตลอดอาชีพค้าแข้งกว่า 20 ปี และในที่สุด หลังจากรับใช้ทีมชาติอาร์เจนตินา ลงเล่นในฟุตบอลโลกมาถึงสมัยที่ 5 ดาวเตะเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 7 สมัยก็ทำได้สำเร็จ
เมื่อทัพ “ฟ้าขาว” เอาชนะ “ตราไก่” ทีมชาติฝรั่งเศส ในรอบชิงชนะเลิศ ไปแบบสุดระทึกในการดวลจุดโทษ 4-2 (เสมอในเกม3-3) ช่วยให้ทัพ “ฟ้าขาว” เถลิงบัลลังก์แชมป์เป็นสมัยที่ 3 ต่อจากปี 1978 และ 1986 ซึ่งแมทช์นี้ยังได้รับการยกย่องจากแฟนบอลทั่วทั้งโลกว่าเป็นนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกที่ดีที่สุดตลอดกาลดวล จากการพลิกไปพลิกมาตลอดทั้งเกม
ซึ่งนอกจากจะคว้าแขมป์โลกได้สำเร็จ เมสซี่ ที่ทำไปถึง 7 ประตู ในทัวร์นาเมนท์นี้ ก็คว้ารางวัล โกลเด้นบอล หรือแข้งยอดเยี่ยมไปครองด้วย ซึ่งหากจะเปรียบดั่งหนังสักเรื่องต้องเรียกได้ว่านี่เป็นฉากจบเรื่องที่ แฮปปี้เอ็นดิ้งที่สุดเลยก็ว่าได้
และต่อจากนี้ไป หากยังมีการเปรียบเทียบว่าใครคือนักเตะที่ดีที่สุดในโลกยุคนี้ ก็อาจจะเป็นสิทธิของใครคนนั้นแต่เชื่อว่าชื่อของ ลีโอเนล เมสซี่ จะถูกเรียกได้ว่าเป็น GOAT (Greatest Of All Time) ได้แบบไม่เคอะเขินและสมศักดิ์ศรีอย่างแน่นอน
วงการฟุตบอลสูญเสีย ‘เปเล่’
นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของวงการฟุตบอล เมื่อ เปเล่ ตำนานดาวยิงผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลทีมชาติบราซิล ได้เสียชีวิตลงแล้ว ในวัย 82 ปี หลังต่อสู้กับโรงมะเร็งลำไส้มาอย่างยาวนาน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ที่ผ่านมา
โดย เปเล่ ในวัย 82 ปี ต่อสู้กับมะเร็งลำไส้ ตั้งแต่ ก.ย. 2021 ก่อนจะอาการทรุดต้องเข้ารักษาตัวอีกครั้งระหว่างรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเมื่อเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา จนกระทั่ง ได้เกิดข่าวร้ายถึงการจากไปของตำนานผู้ยิ่งใหญ่
สำหรับตำนานไข่มุกดำได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาล เป็นเจ้าของสถิติมากมายจากการช่วยให้ทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์โลก 3 สมัยในปี 1958, 1962และ 1970 ยิงไปทั้งสิ้น 1,281 ประตู จาก 1,363 นัด จากทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ ก่อนจะไปยุติเส้นทางค้าแข้งกับ นิวยอร์ก คอสมอส และประกาศรีไทร์เมื่อปี 1977
‘เอ็มบัปเป้-ฮาแลนด์’ สุดยอดแข้งสู่ยุคใหม่
หลังจากที่โลกฟุตบอลนั้นอยู่ในยุคของ โรนัลโด้ และ เมสซี่ มาเป็นเวลานานร่วม 15 ปีเต็ม เวลานี้ก็ใกล้ที่จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่เต็มตัว เมื่อ เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ ที่ย้ายจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาร่วมทัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้นแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคือของจริงไม่ว่าจะเล่นที่ไหนก็ตาม
ซึ่งผลงานจนถึงตอนนี้ เครื่องจักรทำประตูวัย 22 ปี สร้างสถิติใหม่ให้กับลูกหนังพรีเมียร์ลีกไปแล้ว เมื่อกลายเป็นนักเตะคนแรกที่ยิง 20 ประตูได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์จากการลงสนามเพียง 14 นัดเท่านั้น และไม่มีใครทราบได้ว่าเมื่อจบฤดูกาล ผลงานของเขานั้นจะไปจบที่กี่ประตู
ขณะที่ เอ็มบัปเป้ แม้เวลานี้จะยังค้าแข้งอยู่กับ ปารีส- แซงต์ แชร์กแมง ที่ว่ากันว่าแทบจะแบเบอร์ในการคว้าแชมป์ลีกเอิง แต่กับผลงานที่สุดยอดในฟุตบอลโลกที่ผ่านมา ที่ดาวยิงวัย 24 ปี ซัดไปถึง 8 ประตู นั้นก็คงต้องบอกว่านับจากนี้ต่อไป คงถึงเวลาที่ต้องเข้าสู่ยุคของเขาอย่างเต็มตัวเช่นกัน
กาลอป