ลิโอเนล เมสซี : บันไดขั้นสุดท้ายเพื่อคว้าแชมป์ “ฟุตบอลโลก” ทาบชั้น “มาราโดนา” ตำนานผู้ล่วงลับ

นักเตะเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 7 สมัย “ลิโอเนล เมสซี” นำทัพ “ฟ้าขาว” ทีมชาติอาร์เจนตินา เอาชนะ “ตาหมากรุก” ทีมชาติโครเอเชีย ไปด้วยสกอร์ 3-0 ผ่านเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศของศึกฟุตบอลโลก 2022 ได้สำเร็จ ทำให้มีโอกาสลุ้นชูถ้วยแชมป์อีกครั้งในรอบ 36 ปี ทาบตำนานแข้งร่วมชาติอย่าง “เสือเตี้ย” ดิเอโก มาราโดนา

ดิเอโก มาราโดนา ได้เริ่มเล่นฟุตบอลตอนอายุ 8 ปี กับสโมสรท้องถิ่น ก่อนจะถูกเรียกให้มาติดสโมสรเยาวชนของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส ซึ่ง มาราโดนา เริ่มเล่นในระดับอาชีพด้วยวัย 15 ปี ซึ่งเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีกฟุตบอลปริเมราดิบิซิออน ต่อมาเขาย้ายไปร่วมสโมสรโบกายูนิออร์ส ในปี 1982 มาราโดนา ย้ายไปอยู่สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาในสเปน

ทว่าด้วยอาการบาดเจ็บและปัญหาหลายอย่างทำให้ มาราโดนา ต้องย้ายไปอยู่สโมสรนาโปลีในอิตาลี ที่ซึ่งเขาได้รับตำแหน่งกัปตันทีม และพาสโมสรสร้างสถิติใหม่หลายอย่าง หลังจากนั้น มาราโดนา ย้ายไปอยู่สโมสรฟุตบอลเซบิยา นีเวลส์ โอลด์บอยส์ และกลับมาอยู่สโมสรโบกายูนิออร์ส ก่อนจะเลิกเล่นในปี 1997

ขณะที่ในนามทีมชาติอาร์เจนตินา ดิเอโก มาราโดนา ได้ประเดิมสนามในนามนักเตะทีมชาติครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1977 ซึ่งขณะนั้นเขาอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ในปี 1979 มาราโดนา พาทีมชาติอาร์เจนตินาชุดอายุไม่เกิน 20 ปี คว้าแชมป์โลกในญี่ปุ่น และเขายังได้รับรางวัล “ลูกบอลทองคำ” ในฐานะผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ ต่อมา “เสือเตี้ย” ลงเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกให้ทีมชาติชุดใหญ่ในปี 1982 ที่สเปนเป็นเจ้าภาพ และในฟุตบอลโลกครั้งถัดมาในปี 1986 ที่เม็กซิโก ทีมชาติอาร์เจนตินา คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ หลังเอาชนะ ทีมชาติเยอรมนีตะวันตก 3-2 ในนัดชิงชนะเลิศ

แต่เกมที่สร้างชื่อให้กับเขามากที่สุดคือแมตช์รอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ หนึ่งในเจ้าลูกหนังยุคนั้น ที่ทีมชาติอาร์เจนตินาชนะ 2-1 และได้สร้างตำนาน “หัตถ์พระเจ้า” จากการใช้มือปัดลูกฟุตบอลเข้าประตูไปแบบเนียนๆ ชนิดที่ผู้ตัดสินมองไม่ทัน หลังจากนั้น มาราโดนา ก็โชว์ความเทพเลี้ยงบอลจากแดนตัวเองกระชากหนีผู้เล่นอังกฤษ 6 คน รวมถึงโกล ก่อนยิงประตูที่สองให้ทีม “ฟ้าขาว” จน สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ “ฟีฟ่า” ตั้งฉายาให้กับประตูนี้ว่า “ประตูแห่งศตวรรษ” นอกจากนี้ “มาราโดนา” ยังรับรางวัลลูกบอลทองคำ และตำแหน่งรองดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ หลังยิงได้ 5 ประตู น้อยกว่าดาวซัลโวอย่าง “แกรี ลินิเกอร์” ที่ยิงให้ทีมชาติอังกฤษไป 6 ประตู

ต่อมาในปี 1987 เจ้าหนูมหัศจรรย์ ลิโอเนล เมสซี ได้ถือกำเนิดขึ้นในแคว้นซานตาเฟ่ ที่เมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนตินา เจ้าหนู “ลิโอเนล หรือ “ลีโอ” เริ่มต้นเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ 5 ขวบ และได้อยู่กับสโมสรเล็กๆ ที่ชื่อว่า กรานโดลี ซึ่งมีพ่อเป็นโค้ชให้ จนกระทั่งในปี 1995 ก็ได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรที่ใหญ่กว่าอย่าง นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ สโมสรในระดับลีกสูงสุดของอาร์เจนตินา เส้นทางของเจ้าหนูตัวเล็กรายนี้น่าจะไปได้สวย และมีโอกาสจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในอนาคตก้าวสู่เส้นทางลูกหนังตั้งแต่อายุ 11 ปี

ขณะที่ เมสซี กำลังจะไปได้ดี โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขา เมื่อร่างกายที่เล็กเกินกว่าเพื่อนร่วมรุ่นขาดพัฒนาการ จนพ่อต้องจับตรวจและพบว่า เมสซี มีปัญหาในเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกาย เนื่องจากฮอร์โมนบางตัวได้ขาดไป และพ่อแม่ของเขาก็ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาที่แสนแพงในอาร์เจนตินาได้ ในขณะที่กำลังจะหมดหนทาง ครอบครัวเมสซีก็พบกับแสงสว่างเล็กๆ เมื่อ การ์เลส เรซัค ผู้อำนวยการด้านกีฬาของ บาร์เซโลนา ได้เห็นฟอร์มของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ และประทับใจกับพรสวรรค์ที่มีมากมายในตัว เรซัค จึงได้ยื่นข้อเสนอให้ว่า ทางบาร์เซโลนายินดีที่จะจ่ายเงินค่ารักษาให้ แต่ว่า เมสซี จะต้องไปอยู่ที่สเปน ครอบครัวเมสซี ไม่ปฏิเสธโอกาสนั้น จึงได้ตัดสินใจเดินทางไปอยู่ที่สเปนพร้อมกันทั้งครอบครัว เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน

หลังจากที่ย้ายไปอยู่สเปนได้ไม่นาน ด้วยพรสวรรค์ ฝีเท้า และความเร็วในตัวเขา ทำให้เจ้าหนูเมสซี ก็กลายเป็นตัวหลักในทีมบี และทำผลงานเหลือเชื่อด้วยการยิงไปถึง 37 ประตู จากการเล่นแค่ 30 นัด ฟอร์มการเล่นระดับนี้ทำให้ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด นายใหญ่ทีม “เจ้าบุญทุ่ม” ก็เปิดทางให้เจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ได้เริ่มต้นลงมาสัมผัสเกมในทีมชุดใหญ่ ในปลายฤดูกาล 2004-2005 ซึ่ง เมสซี ก็ใช้เวลาไม่นานในการควานหาประตูแรกในนัดที่พบกับอัลบาเซเต้ ซึ่งเป็นประตูที่ทำให้ เมสซี เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงให้บาร์ซาได้ในวัย 17 ปี

ลิโอเนล เมสซี ลงเล่นให้บาร์เซโลนานานถึง 17 ปี โดยเป็นผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุดของสโมสร และพาทีมชนะเลิศถ้วยรางวัลมากที่สุด 35 รายการ รวมถึงแชมป์ลาลีกา 10 สมัย, โกปาเดลเรย์ 7 สมัย และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 4 สมัย เมสซียังครองสถิติสำคัญ ได้แก่ เป็นผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุด (474 ประตู) และทำแอสซิสต์มากที่สุด (192 ครั้ง) ในลาลีกา เป็นผู้ทำประตูมากที่สุดในลีกยุโรปต่อหนึ่งฤดูกาล (50 ประตู), เป็นผู้ทำแฮตทริกมากที่สุดในลาลีกา (36 ครั้ง), ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก (8 ครั้ง) และโกปาอเมริกา (17 ครั้ง) และรับรางวัลบัลลงดอร์มากที่สุด 7 สมัย และได้รางวัลรองเท้าทองคำ 6 สมัย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเช่นกัน

ทางด้านทีมชาติ เมสซี ก็กลับมาเป็นแกนหลักของทีมชาติเยาวชนของอาร์เจนตินา หลังได้ปฏิเสธโอกาสที่จะเล่นให้ทีมชาติสเปนไปก่อนหน้านั้น และในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกที่เนเธอร์แลนด์ เมสซี ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ขึ้น จนทุกคนที่ได้เห็นก็ต้องอุทานว่านี่มัน ดิเอโก มาราโดนา ที่เกิดใหม่ชัดๆ ซึ่งในรายการนี้ เมสซี เป็นกำลังสำคัญที่สุดในการพาทีม “ฟ้าขาว” คว้าแชมป์และคว้าทั้งรางวัลดาวซัลโวด้วยจำนวน 6 ประตู และยังได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำรายการด้วย

ขยับมาในปี 2005 เมสซี ได้ลงสนามให้กับ ทีมชาติอาร์เจนตินา ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับปารากวัย ซึ่งแม้จะได้เล่นเพียง 8 นาที และแพ้ด้วยสกอร์ 1-0 แต่ เมสซี ก็ถือว่านัดนี้เป็นการลงเล่นนัดแรกของเขาในสีเสื้อฟ้าขาว

ถัดมาในปี 2006 เมสซี พบกับช่วงเวลาที่ไม่ดีนัก หลังกลับมาจากฟุตบอลโลกครั้งแรกในชีวิตด้วยความผิดหวัง เนื่องจาก ทีมชาติอาร์เจนตินา ต้องร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือเจ้าภาพ ทีมชาติเยอรมนี แต่ตัวเขาเองก็พอจะทำผลงานได้ดี โดยยิงได้ 1 ประตู ในเกมกับ ทีมชาติเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกร (ถล่มไป 6-0) และทำให้เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลก

ล่าสุด ลิโอเนล เมสซี ได้ทำสถิติไว้มากมายในฟุตบอลโลก 2022 โดยตอนนี้ เมสซี คือนักเตะอาร์เจนตินาที่ยิงประตูได้สูงสุดในฟุตบอลโลก จำนวน 11 ประตู ทำลายสถิติเดิมของ กาเบรียล บาติสตูตา ที่ทำไว้ที่ 10 ประตู และทำแอสซิสต์ให้กับ ทีมชาติอาร์เจนตินา มากที่สุด ในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ที่จำนวน 8 ครั้ง เทียบเท่ากับ ดิเอโก มาราโดนา เมสซี ยังทำลายสถิติ ยิง+แอสซิสต์ ในนัดเดียว ได้ถึง 4 เกม เป็นคนแรกในฟุตบอลโลก และยังได้รับตำแหน่งแมนออฟเดอะแมตช์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก ที่จำนวน 10 นัด โดยทำไปแล้ว 4 ครั้ง ในฟุตบอลโลกหนนี้ รวมทั้งทำสถิติลงเล่นในฟุตบอลโลกมากที่สุดเทียบเท่า โลธาร์ มัทเธอุส ตำนานทีมชาติเยอรมนี ที่ 25 นัด และจะสร้างสถิติใหม่ที่ 26 นัดทันที ในนัดชิงชนะเลิศวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้

สำหรับใน ทีมชาติอาร์เจนตินา ลิโอเนล เมสซี ยังคงเป็นกำลังหลักของทัพ “ฟ้าขาว” ทีมชาติอาร์เจนตินา แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ เมสซี จะคว้ารางวัลมามากมายทั้งกับสโมสร หรือรางวัลส่วนตัว แต่เขาก็ไม่เคยได้ชูถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกเลยสักครั้ง ต่างกับ ดิเอโก มาราโดนา และนี่อาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของชายที่ชื่อว่า ลิโอเนล เมสซี ที่จะได้คว้าถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกในครั้งนี้.