นับตั้งแต่โคตรมหาเศรษฐีชาวรัสเซียอย่าง โรมัน อบราโมวิช หรือที่สื่อมวลชนชาวไทยนิยมเรียกเขาสั้นๆ ว่า “เสี่ยหมี” เข้ามาควบคุมกิจการสโมสรฟุตบอล เชลซี เมื่อเดือนมิถุนายน 2003
เชลซี ก็แปลงร่างเป็นทีมระดับพญายักษ์ของอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรอบเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา
แชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย
แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย
แชมป์ ยูโรปา ลีก 2 สมัย
แชมป์ เอฟเอ คัพ 5 สมัย
แชมป์ ลีก คัพ 3 สมัย
เกียรติประวัติและความสำเร็จเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจาก โรมัน อบราโมวิช สถาปนาตัวเองเป็นเจ้าของ ผู้จัดการทีม 3 คนเสกให้พวกเขาเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ โชเซ่ มูรินโญ่ (3 สมัย), คาร์โล อันเชล็อตติ และอันโตนิโอ คอนเต้
ผู้จัดการทีม 2 คนเสกให้พวกเขาเป็นเจ้ายุโรป โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ กับ โธมัส ทูเคิ่ล สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างคือทั้งคู่เข้ามาคุมทีมในระหว่างฤดูกาล) และผู้จัดการทีม 2 คนเสกให้พวกเขาเป็นแชมป์ถ้วยเล็กยุโรป ราฟาเอล เบนิเตซ กับ เมาริซิโอ ซาร์รี่
ก่อน “ซูเปอร์เสี่ย” จะเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรแห่ง สแตมฟอร์ด บริดจ์ – เชลซี เป็นเพียงทีมที่โด่งดังในระดับหนึ่งเท่านั้น ความนิยมทั้งในอังกฤษ และทั่วโลกเป็นรองทีมในราชธานีเดียวกันอย่าง อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส
เพราะนับแต่ก่อตั้งสโมสร เมื่อปี 1905 เชลซี เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดเพียงครั้งเดียว เมื่อปี 1955 แชมป์ เอฟเอ คัพ 3 สมัย แชมป์ ลีก คัพ 2 สมัย และแชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ 2 สมัย
อันที่จริง เชลซี พยายามสร้างเนื้อสร้างตัวให้เป็นทีมระดับท็อปของเมืองหลวงลูกหนังตั้งแต่ในยุคที่มี เคน เบตส์ และ แม็ทธิว ฮาร์ดิ้ง เป็นเจ้าของทีมแล้ว
พวกเขาเป็นสโมสรแรกๆ ในอังกฤษที่คว้าตัวดาวดังชาวต่างชาติจาก กัลโช่ เซเรีย อา มาเสริมทัพ เพื่อต่อกรกับพวกขั้วอำนาจเก่าอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล และลิเวอร์พูล
ย้อนกลับไปในยุค 90’s ณ ขณะโน้น สมรภูมิแข้งที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมดาราอันดับหนึ่งของโลกคือ กัลโช่ เซเรีย อา ดาวดังจากทั่วทุกสารทิศต่างไปชุมนุมกันที่ อิตาลี
ตอนนั้น พรีเมียร์ลีกอาจเป็นฟุตอลลีกที่ได้รับความนิยมมากกว่าก็จริง ด้วยความบันเทิงเหมือนดูหนังแอคชั่นที่ยิงกันสนั่นจอ แต่ถ้าพูดถึงศูนย์รวมนักเตะระดับ “มหาดารา” มันต้อง กัลโช่ เซเรีย อา เท่านั้น
ขอบอกว่า เชลซี นี่แหละเป็นผู้เปิดตลาดในดึงสตาร์ดังจากลีกอื่น แต่ในยุคแรกของควาพยายาม ดาวเตะต่างชาติส่วนใหญ่ใน กัลโช่ ที่ยอมเลื้ดยตูดมาค้าแข้งในลีกที่ฮาร์ดคอร์ของอังกฤษ มักจะอยู่ในช่วง “ขาลง” แล้ว
ยกตัวอย่าง รุด กุลลิท, จานลูก้า วิอัลลี่, จานฟรังโก้ โซล่า หรือ ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี่ พวกเขาสับตีนมาที่เหมืองหลวงแห่งลูกหนังหลังพุ่งถึงจุดสูงสุดของตัวเองไปแล้ว ก่อนที่พรีเมียร์ลีกจะสถาปนาตัวเองเป็นศูนย์รวมดาวดังอันดับหนึ่งในเมืองมนุษย์
ขณะในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาของ แมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขาคว้าแชมป์ใหญ่ๆ อย่างพรีเมียร์ลีกได้ 5 สมัย และแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 1 สมัย จากผู้จัดการทีมเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
มองเห็นความแตกต่างของคำว่า “วิถี” ของ เชลซี กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไหมครับ ???
วิถีของปีศาจแดงคือวิถีที่ถูกปลูกฝังโดยผู้จัดการทีมเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น คือ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ กับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
ทั้งคู่สร้างทีมด้วยผู้เล่นที่เป็นหยดอสุจิของท่านซาตานผสมผสานกับดาวดังที่กระชากตัวเข้ามา เพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาวเกิน 20 ปีจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน (มากเกินไป)
ต่อเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งผู้จัดการทีม มันจึงเกิดอาการ “ซินโดรม” คือใครก็เสกให้ แมนฯ ยูไนเต็ด พุ่งชนความสำเร็จในระดับสูงไม่ได้จนกว่าจะเจอบรมกุนซืออย่างพ่อปู่บัสบี้และคุณป๋าเฟอร์กี้อีกครั้ง
ส่วนวิถีของ เชลซี ที่ โรมัน อบราโมวิช เป็นผู้ปลูกฝังนั้นเป็นอีกอย่าง ซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็นวิถีแบบ “เถ้าแก่” ซะมากกว่า วิถีของ “เสี่ยหมี” นั้นง่ายๆ ไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศอะไร
ขั้นแรกทุ่มเงินซื้อตัวผู้เล่นระดับดาวดัง และดึงผู้จัดการทีมดีๆ มาร่วมทีม
ถ้าพุ่งชนความล้มเหลว (ในสายตาของผู้เป็นเถ้าแก่) ก็เปลี่ยนผู้จัดการทีมใหม่ แล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะประสบความสำเร็จนั่นแหละ
ค่าเฉลี่ยของอายุผู้จัดการทีมจึงตกอยู่ที่ประมาณ 2 ปี โดยวนเวียนอยู่กับการแต่งตั้ง ปลดออก แต่งตั้ง ปลดออก ซ้ำไปซ้ำมา แต่สามารถช่วยให้ประสบความสำเร็จได้
เชลซี มีขุมกำลังที่อุดมด้วยคุณภาพจากความมั่งคั่งของ โรมัน อบราโมวิช ขณะที่ตำแหน่งผู้จัดการทีมก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะประสบความสำเร็จ
สไตล์การเล่นก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดว่าจะเป็นแบบไหน สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามหัวเรือใหญ่ที่มาเป็นกุนซือนั่นแหละ ชัดเจนหน่อยก็ตอน โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม
ช่วงแรกของการสร้างอาณาจักรเชลสกี้ เจ้าของสโมสรใช้ความร่ำรวยทะลุชั้นบรรยากาศโลกของตัวเองกว้านซื้อผู้เล่นค่าตัวแพงพร้อมประเคนค่าเหนื่อยมหาศาล
ก่อนจะค่อยๆ ปรับตัวจนกลายเป็นทีมที่ร่ำรวยด้วยผลประกอบการของตัวเองในเวลาต่อมา ด้วยทีมบริหารและจัดการที่เก่งฉกาจเรื่องการตลาดจนนำมาซึ่งความสมดุลย์ของระบบ
นอกจากนี้ยังสร้างรากฐานของทีมจากระบบเยาวชนควบคู่กันไป
กระนั้นอำนาจสูงสุดยังคงขึ้นอยู่กับเจ้าของสโมสรแต่เพียงผู้เดียว และนั่นหมายถึงความเด็ดขาด การตัดสินใจของ เชลซี จึงกระชับและฉับไว ไม่เยิ่นเย้อและยืดยาดเป็นสนิมสร้อย หลังจากคว้าแชมป์ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่
เป้าหมายต่อไปของ เชลซี คือกลับมาจ้องมองแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งพร้อมโขยกบั้นเด้าด้วยความเร็ว 80 ยิกต่อนาที
แชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรปขบวนล่าสุดแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีขุมกำลังที่แข็งแกร่ง ระบบการเล่นที่ยอดเยี่ยม และกุนซือระดับอ๋อง จุดอ่อนจากเมื่อฤดูกาลก่อนคือกองหน้าตัวเป้าอย่าง ติโม แวร์เนอร์ ที่ผลิตประตูได้น้อยไปหน่อย
ดังนั้นตำแหน่งที่พวกเขาต้องการคือหัวหอกตัวเป้าที่ถล่มตาข่ายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำเหมือนที่เคยมี ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา หรือ ดิเอโก้ คอสต้า ปัญหาคือมันดันมีอาถรรพย์ของกองหน้าค่าตัวแพงที่ซื้อมาแล้วมักเล่นไม่ค่อยออก
อังเดร เชฟเชนโก้ กับ เฟร์นานโด ตอร์เรส คือตัวอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ โดยมี ติโม แวร์เนอร์ เป็นหลักฐานรายล่าสุด วิธีแก้ง่ายๆ ตามแบบฉบับ เชลซี ก็คือเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เหมือนเปลี่ยนผู้จัดการทีม
ถ้าไม่นับ เออร์ลิ่ง เบราต์ ฮาแลนด์ และ แฮร์รี่ เคน ที่หลายทีมจับจ้อง กองหน้าตีนพระกาฬในนาทีนี้ก็คือเด็กเก่าของพวกเขาอย่าง โรเมลู ลูกากู นี่แหละ
หลังแปลงร่างเป็นตู้เย็นในเครื่องแบบปีศาจแดง “พี่ตู้” มีอันต้องระเห็จไปอยู่ประเทศอื่น แล้วยิงกระจายจนช่วยให้ทีมงูใหญ่พุ่งเข้าชนและวิ่งเข้าใส่ความสำเร็จระดับ “สคูเด๊ตโต้”
รายงานข่าวกล่าวว่า เชลซี จะ “เอานะ” โรเมลู ลูกากู โดยยื่นข้อเสนอเป็นเงินมากกว่า 100 ล้านปอนด์ เรียนตามตรงว่าค่าตัวมหาศาลขนาดนี้ย่อมทำให้ อินเตอร์ มิลาน หวั่นไหวมิใช่น้อย
แถมท้าทายมากสำหรับ “พี่ตู้” ที่จะกลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในพรีเมียร์ลีก ดูทรงแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร โรเมลู ลูกากู จะคัมแบ็คกลับมาที่ เดอะ บริดจ์ และพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง
อืมมมมมมม…ว่าแล้วลองจินตนาการถึงผังการเล่นของ เชลซี และฤดูกาลใหม่ดูนะครับ
เซ็นเตอร์แบ็ค 3 ตัว ชูลส์ คุนเด้ – ติอาโก้ ซิลวา – อันโตนิโอ รือดิเกอร์
วิงแบ็ค 2 ข้างอย่าง รีซ เจมส์ กับ เบน ชิลเวลล์
มิดฟิลด์ดตัวกลาง 2 คน เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กับ จอร์จินโญ่
หน้า 3 ตัว ไค ฮาแวร์ตซ์ – โรเมลู ลูกากู – เมสัน เมาต์
แล้วไหนจะอะไหล่ราคาแพงอย่าง ฮาคิม ซีเย็ก, คริสเตียน พูลิซิช และติโม แวร์เนอร์ หากปรับระบบเป็น 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 ก็แค่เอาเซ็นเตอร์แบ็ค ออกไปสักคนแล้วขยับ เมสัน เมาต์ เข้ามาตรงกลางพลางใส่ ติโม แวร์เนอร์, คริสเตียน พูลิซิช หรือ ฮาคิม ซีเย็ก คนใดคนหนึ่งเป็นกองหน้ากึ่งปีก
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการคือ โธมัส ทูเคิ่ล จะได้ทำงานแบบเต็มตัวตั้งแต่เริ่มฤดูกาลพร้อมด้วยขุมพลังที่เพียบพูนด้วยเสน่ห์และแสนดี
จริงๆ แล้วจะว่าไป วิถีของ ‘เสี่ยหมี’ ก็ไม่ต่างจากวิถีของปีศาจแดงสักเท่าไหร่หรอก คือถูกกำหนดแนวทางโดยคนเพียงคนเดียวแบบผูกขาด
แตกต่างกันตรงที่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด คือกุนซือผู้ยิ่งใหญ่ ส่วนของ เชลซี คือเจ้าของทีมผู้ยิ่งใหญ่
บอ.บู๋
Add friend ที่ @Siamsport