มันแค่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น.. เพิ่งจะเริ่มเดินก้าวแรกเท่านั้นเอง
ฤดูกาลนี้ยังอีกยาวไกลเหลือเกินครับ ยังมีเรื่องราวมากมายที่จะเกิดขึ้นระหว่างทางได้อีก
ทั้งเรื่องดี.. และเรื่องที่อาจจะไม่ดีนัก
ฤดูกาลที่ผ่านมาเราได้ผ่านประสบการณ์อันสวยงามร่วมกัน มันเจิดจรัส ให้นึกย้อนกลับไปซึมซับกับมันอีกทีก็ยังคงซาบซ่าน ลิเวอร์พูลมีลุ้นแชมป์ทั้งสี่รายการจนถึงวันสุดท้าย
ตั้งแต่มอบใจให้ลิเวอร์พูลมาในยุคปลายทศวรรษ 1980 ไม่เคยมีฤดูกาลไหนเลยที่จะได้สัมผัสประสบการณ์แบบนี้
อารมณ์ของแฟนบอลนั้นมีอยู่เสมอครับ รักทีม เป็นห่วงทีม อยากเห็นทีมมีความพร้อมที่ดีที่สุด เต็มไปด้วยจุดแข็ง ปราศจากจุดอ่อน ตรงไหนที่ยังดูไม่เข้าที่เข้าทางก็อยากจัดการให้เสร็จสิ้น.. สมบูรณ์ ก็เป็นธรรมดา
รู้ทั้งรู้นั่นล่ะครับว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ กับทีมทำงานของเขานั้นตอบคำถามเราได้เสมอ ฤดูกาลที่แล้วก็มีคำถามเรื่องกองกลางอย่างนี้แหละ คนที่มีอยู่มีแต่จำนวนแต่ประวัติบาดเจ็บไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด แถมช่วงแรกๆ หลายคนก็เจอปัญหาบาดเจ็บรบกวนจริงๆ จนเหลือเล่นกันได้แค่ 3-4 คนเท่านั้น
แต่ก็กองกลางชุดที่มีแต่จำนวนนั้นแหละพาเราลุ้นแชมป์สี่รายการเป็นซีซั่นประวัติศาสตร์
หรือในฤดูกาลคว้าแชมป์ลีกก็ยิ่งเต็มไปด้วยข้อสงสัย เพิ่งได้แชมป์ยุโรปมาแท้ๆ แถมพรีเมียร์ลีกเก็บได้ 97 แต้มแต่ได้รองแชมป์ทำไมไม่ซื้อใครเพิ่ม ผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็นกันตำตา คล็อปป์พาทีมที่เต็มไปด้วยคำถามนั่นแหละอาละวาดฟาดแชมป์ที่รอคอยอย่างยิ่งใหญ่
ฤดูกาลนี้เพียงแค่เกมแรกก็มีคำถามเหมือนเดิม ลักษณะเดิม เพียงแต่หลายคนเข้าใจคล็อปป์มากขึ้น ใจอาจจะเชียร์ให้มีกองกลางคนใหม่เหมือนกันนั่นแหละแต่ผลสุดท้ายก็อยู่ที่บอส เอาไงก็เอากัน
เท่าที่สำรวจความคิดเห็นในคอมเม้นต์มากมาย เสียงเชียร์ให้ซื้อเหมือนจะมีมากกว่าการผลักดันคนที่มีอยู่เล็กน้อย บางคนก็ตัดสินอนาคตของทีมไปเรียบร้อยแล้วว่าถ้าไม่ซื้อก็ไม่รอดแน่
- – ซื้อมาเถอะ เอาตัวคุณภาพมาเลย ถ้าคนหายเจ็บกลับมาแล้วกองกันหรือไม่ได้เล่นก็ช่วยไม่ได้ ถ้าคุณดีพอก็ต้องเบียดลงตัวจริงให้ได้สิ
- – ยังไม่ต้องซื้อหรอก กองกลางที่มีอยู่ก็ยังพอและมีคุณภาพ เป็นโอกาสเสียอีกที่เด็กอย่าง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ หรือ เคอร์ติส โจนส์ จะได้พิสูจน์คุณค่า หรือ นาบี เกอิต้า เดี๋ยวก็หายเจ็บกลับมาลุยได้แล้ว เจมส์ มิลเนอร์ ก็ยังลงช่วยประคองทีมได้ เผลอๆ ตอนที่ ติอาโก้ กลับมาลงสนามได้อีกครั้งเราอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันผ่านมา 4-6 สัปดาห์แล้ว
สำหรับผมอยู่ในฝ่ายหลังครับ ยังมั่นใจในคุณภาพของทีมที่มีและตื่นเต้นที่จะได้เห็นเอลเลียตต์ คาร์วัลโญ่ หรือ เกอิต้า โชว์ฟอร์ม (เคอร์ติสก็ด้วยนะ) เท่าที่ได้เห็นทีมเล่นมาถ้ากองกลางสามคนเป็นตัวหลักสองกับตัวเสริมหนึ่งเกมยังสามารถไปได้ไม่ติดขัดจนเกินไป
กระนั้นก็เข้าใจมุมมองที่อยากให้ซื้อมิดฟิลด์เช่นกันนะครับ ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เห็นด้วยอะไร คือสุดท้ายมันก็อยู่ที่คล็อปป์จริงๆ ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร มันมีเหตุผลและเงื่อนไขน้อยใหญ่ต่างๆ ซึ่งเราเข้าไปไม่ถึงอยู่เบื้องหลังทั้งนั้น
จะเป็นอย่างไรก็เป็นกัน จะใช้นักเตะที่มีอยู่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ เชื่อว่าสู้ได้ หรือหากเราจะเลื่อนการซื้อเป้าหมายที่เล็งเอาไว้ให้มาเร็วขึ้นสัก 1-2 ตลาดอย่างตอนที่รีบคว้า หลุยส์ ดิอาซ ก่อนถูกสเปอร์สตัดหน้าก็โอเคนะ ไม่ขัดขวางอะไรเลย
เพราะถ้าลิเวอร์พูลได้ซื้อคนที่เป็นเป้าหมายจริงๆ มันก็ค่อนข้างไว้ใจได้ไม่ใช่หรือ
เอาเป็นว่าเรื่องกองกลางในตอนนี้รอดูการตัดสินใจของคล็อปป์กันอีกทีนะครับ ผมเชื่อว่าเขาและทีมงานคงปรึกษากันหนักน่าดู แต่ถ้าให้เดาบทสรุปผมยังคิดว่าเขาจะไม่ซื้อใครเพิ่มนะ
ช่วงสิบวันที่ผ่านมาผมได้อยู่บ้านมากที่สุดในรอบหลายปี อยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหนเลย ก็ผลตรวจ ATK สองขีดที่โชว์หรามันบังคับให้ผมไปไหนไม่ได้
ชีวิตเปลี่ยนไปเหมือนกัน คล้ายได้รู้จักบ้านตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่สิ รู้จักห้องทำงานที่ต้องกักตัวอยู่ในนั้นตลอดเวลามากขึ้น เพราะจะเดินเพ่นพ่านไปทั่วบ้านก็ไม่ได้อยู่ดี
มันก็มีเวลาว่างได้เขียนงาน ได้นอนเล่น ได้อ่านหนังสือ ได้เปิดยูทูบดูนู่นนี่นั่น
กับลิเวอร์พูลก็แน่นอนครับ ได้ดูเรื่องราวของทีมรักทั้งใหม่และเก่า ดูย้อนไปถึงยุคที่เราเริ่มเชียร์ตอน จอห์น บาร์นส์ รัชชี่ เบียร์ดสลี่ย์ หรือครั้งที่เข้าสู่วัยรุ่น แก๊งฟาวเลอร์ แม็คก้า เร้ดแน็ปป์ คอลลีมอร์ ไล่มาถึงโอเว่น ฮามันน์ ฮูเปีย ติตี้ กามาร่า..
รักมากๆ กับกัปตันเจอร์ราร์ด หรือตื่นตาตื่นใจเป็นบ้ากับปรากฏการณ์ ตอร์เรส และ ซัวเรซ มันเป็นความสุขขั้นสุด
อิสตันบูล 2005 นั่นดูเมื่อไหร่ก็น้ำตารื้น ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าคืนนั้นช่างมหัศจรรย์
ดูไปเรื่อยๆ ความทรงจำก็ผุดขึ้นมาทักทายเป็นระยะๆ
แล้วผมก็ยังได้ดูกิจกรรมต่างๆ ของลิเวอร์พูลและเดอะค็อป มันยืนยันกับเราอีกครั้งว่าลิเวอร์พูลมีธรรมเนียมประเพณีและความผูกพันระหว่างแฟนบอลกับสโมสรที่เหนียวแน่นเหลือเกิน
มันมีความเป็นตัวเรา เป็นพวกเรา ในแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ภูมิใจในเรา ในความเป็นเรา แนวทางการเล่น แนวทางการเชียร์ แนวทางการหยิบยื่นกำลังใจให้กันและกัน
แนวทางการยืนหยัดและต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ไม่ได้สู้เพื่อตัวเองแต่เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของเพื่อนของพี่ของน้อง
การต่อสู้อันยาวนานเพื่อปลดเปลื้องพันธนาการให้กับ 96 ชีวิตแห่งฮิลส์โบโร่คือตัวอย่าง มันคือการต่อสู้เพื่อคนที่ไม่อยู่ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
เกือบสามสิบปีเต็มที่การสู้อย่างไม่ย่อท้อนั้นพลิกความอยุติธรรมให้กลับมาเป็นธรรมได้ในที่สุด คำกล่าวหาโกหกมลายสิ้น มลทินทั้งหลายที่เคยแปดเปื้อนวิญญาณทั้ง 96 ดวงได้รับการชำระ (ก่อนดวงที่ 97 จะปลิดปลิวตามไปในเวลาต่อมา)
นั่นคือสิ่งที่สะท้อนคำว่า You’ll never walk alone ได้ชัดเจนที่สุด
ทำเพื่อคนที่ไม่มีโอกาสได้อธิบาย ทำเพื่อคนที่ไม่อยู่ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย
จากอดีตถึงปัจจุบันเดอะค็อปนั้นผ่านการต่อสู้มามากมายจริงๆ ต่อสู้กับสงคราม ต่อสู้กับสังคม ต่อสู้กับคู่แข่งทีมอื่นๆ หรือกระทั่งต่อสู้กับตัวเอง
มีช่วงรุ่งโรจน์รุ่งเรืองสุกสกาว มีช่วงหมองหม่นตกต่ำและหดหู่
มาถึงวันนี้.. ผมหยิกตัวเองอีกครั้ง ลิเวอร์พูลมาอยู่ในจุดที่ไม่กล้าคิดเลยว่าจะมาถึงถ้าย้อนกลับไปสักสิบปีก่อน
ทุกอย่างดูเป็นมืออาชีพไปหมด สมกับที่เป็นทีมที่มีศักยภาพไล่ล่าความสำเร็จ ผลการแข่งขันแต่ละเกมจะเป็นอย่างไรนั้นอีกเรื่อง ชนะหรือแพ้มันเกิดขึ้นได้ แต่การบริหารจัดการตั้งแต่ส่วนบนลงไปถึงบุคลากรข้างสนามล้วนเป็นความมั่นคงที่ดูยั่งยืน
กระทั่งวันที่ได้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาทำงานที่แอนฟิลด์ก็เถอะครับ.. ในวันนั้นผมก็ยังไม่กล้าคิดว่าภายในเวลาแค่ 7 ปี สโมสรจะก้าวมายืนในจุดนี้ที่คงไม่ต้องสาธยายอะไรอีกว่าเราเดินมาไกลเพียงใด
ในคลิปที่ คล็อปป์ โผล่ไปเซอร์ไพรซ์ เจมี่ เว็บสเตอร์ กลางงานคอนเสิร์ตเล็กๆ ของกลุ่มแฟนบอลที่มิชิแกน ระหว่างการทัวร์อเมริกาเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ผมอมยิ้มกับภาพที่ได้เห็น เพลงที่ได้ยิน และคอมเมนต์มากมาย
หนึ่งในคอมเมนต์เหล่านั้นพาผมย้อนเวลากลับไป.. ย้อนไปไม่นานนักหรอกแค่สามปีที่แล้วนี่เอง แต่ผมรู้ดีว่ามันจะฝังอยู่ในความทรงจำของผมและเดอะค็อปทุกคนไปอีกนาน
I went to Anfield Tuesday night to “see Messi”
I left having experienced the best moment of my life. Cheers to the city of Liverpool.
มันคือคอมเมนต์ของคุณ Jay Wehenberg ครับ เขาเข้ามาคอมเมนต์หลังคลิปถูกอัพโหลดลงยูทูบไปแล้วร่วมปี ผมไม่รู้จักแกหรอก แต่รู้ว่า Tuesday night ที่แกพูดถึงนั้นน่ะคือเกมไหน
นึกย้อนกลับไปอีกที เอาความรู้สึกของตัวเองไปใส่ในค่ำคืนนั้นอีกหน มันคือ One of the best moment of life จริงๆ จะนั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิดอีกกี่รอบคำตอบก็ไม่เคยเปลี่ยน
ผมเปิดดูคลิปที่ จอห์น อัลดริดจ์ กับ สตีฟ ฮันเตอร์ พากย์เกมนั้นสดๆ อีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ไม่เคยเบื่อเลยและยิ้มไปด้วยทุกครั้งที่เห็นทั้งคู่ตะโกนแหกปากกอดกันกลมดีใจหลุดโลกเหมือนเด็กได้ของเล่น
ตอน 1-0 2-0 ก็อารมณ์นึง แต่พอตอน 3-0 นั่นเราก็ได้แต่ยิ้มกว้าง รอดูปฏิกิริยาตอน 4-0 ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ
พูดแล้วก็คิดถึง ขอย้อนกลับไปดูอีกสักรอบดีกว่า
มาลองคิดๆ ดู ก็นี่แหละนะครับชีวิต..
หลังความสุขในค่ำคืนนั้น ลิเวอร์พูลต่อยอดไปจนสุดด้วยตำแหน่งแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 มันยังตามมาด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่นต่อมา แต่แล้วกลับเกิดวิกฤติใหญ่กองหลังเจ็บยกแผง ผลงานร่วงเหมือนนกปีกหัก แพ้เกมเหย้า 6 นัดติดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
ความห่อเหี่ยวแผ่ซ่านไปทั่ว ความสงสัยหวนกลับมาอีกครั้ง
แล้ว อลิสซง เบ็คเกอร์ ก็โหม่งประตูปาฏิหาริย์ลูกนั้น ดีดขึ้นไปจบที่สามในฤดูกาลกระเสือกกระสน แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของการพุ่งตะลุยลุ้นสี่แชมป์ที่น่าทึ่ง
ความตื่นเต้นภูมิใจทะยานสูง ทว่าบทสรุปคือพลาดแชมป์ลีกและแชมป์ยุโรป
ในรอยยิ้มมีความผิดหวังเจืออยู่ แล้วฤดูกาลใหม่ก็เริ่มต้นด้วยความสงสัยอีกครั้ง
มันก็วนเวียนไปอยู่อย่างนี้ นี่แหละชีวิต มีขึ้นมีลง มีเรืองรองมีร่วงหล่น
หากสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าหลายคนรู้สึกเหมือนๆ กันก็คือ ทีมของเราอยู่ในมือของคนที่ถูกต้องจริงๆ คนที่เราพร้อมจะมอบศรัทธาและความไว้วางใจทั้งหมดให้
ลุยไปเถอะ คุณไปไหน เราไปด้วย
เมื่อมองเรื่องเหล่านี้ย้อนกลับไปแบบแฟลชแบ๊ก เรื่องดี เรื่องแย่ เกมชนะ เกมแพ้ เสียงหัวเราะ คราบน้ำตา ความลิงโลด ความเสียดาย สลับกันเข้ามาราวภาพตัดต่อเร็วจี๋ ผมก็ได้เห็นว่าผลเสมอที่คราเวน ค็อตเทจ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานั้นมันก็แค่ขี้ปะติ๋ว
เป็นเพียงหนึ่งในปัญหาที่เราจะก้าวข้ามมันไป ชีวิตคือการเรียนรู้ เจอความผิดพลาดแล้วแก้ไข พัฒนาตัวเอง.. ฟุตบอลก็เช่นกัน
ลิเวอร์พูลในวันนี้กำลังปูทางสู่วันหน้า มันก็เป็นอย่างนี้มาตลอดนับตั้งแต่วันแรกที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม
Just 1 down.. 37 to go
มันแค่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น.. ฤดูกาลนี้เพิ่งจะเริ่มเดินก้าวแรกเท่านั้นเอง ยังมีเรื่องราวมากมายที่จะเกิดขึ้นระหว่างทาง
แน่นอนครับ ทั้งเรื่องดี.. และเรื่องที่อาจจะไม่ดีนัก แต่เราคงจะพร้อมรับมือกับมันไปกับทีมของเรา ก็เดอะค็อปน่ะต้องต่อสู้มาตลอดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ
ตังกุย